ผู้เขียน หัวข้อ: พุทธวจนสวัสดี  (อ่าน 12675 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ ขลุ่ย

  • ตัวแทนจำหน่าย
  • ขี้โม้ระดับสุดยอด
  • **
  • กระทู้: 5753
  • HL#740DB29C @ 6C8A4886 เจ้าอาวาส
Re: พุทธวจนสวัสดี
« ตอบกลับ #25 เมื่อ: วันที่ 24 พฤษภาคม 2013, 07:56:10 น. »
บวชเรียนไปด้วย ทางธรรม แล้วไม่ต้องศึกออกมา สุดยอด

ออฟไลน์ สายฝน

  • ตัวแทนจำหน่าย
  • ระดับ 4
  • **
  • กระทู้: 333
  • 440842cc (X-MEN)
Re: พุทธวจนสวัสดี
« ตอบกลับ #26 เมื่อ: วันที่ 24 พฤษภาคม 2013, 08:01:51 น. »
ฉบับ ๔ มรรค วิธีที่ ง่าย 47
สติปัฏฐานบริบูรณ์
ย่อมทำโพชฌงค์ให้บริบูรณ์

ภิกษุทั้งหลาย ! ก็สติปัฏฐานทั้ง ๔ อันบุคคล
เจริญแล้ว ทำให้มากแล้วอย่างไรเล่า จึงทำโพชฌงค์ทั้ง ๗
ให้บริบูรณ์ได้ ?
      ภิกษุทั้งหลาย ! สมัยใด ภิกษุเป็นผู้เห็นกายในกาย
อยู่เป็นประจำก็ดี; เป็นผู้เห็นเวทนาในเวทนาทั้งหลาย
อยู่เป็นประจำก็ดี; เป็นผู้เห็นจิตในจิตอยู่เป็นประจำก็ดี;
เป็นผู้เห็นธรรมในธรรมทั้งหลายอยู่เป็นประจำก็ดี; มี
ความเพียรเผากิเลส มีสัมปชัญญะ มีสติ นำอภิชฌาและ
โทมนัสในโลกออกเสียได้; สมัยนั้นสติที่ภิกษุเข้า ไปตั้งไว้แล้ว
ก็เป็นธรรมชาติไม่ลืมหลง.
      ภิกษุทั้งหลาย ! สมัยใด สติของภิกษุผู้เข้าไปตั้ง
ไว้แล้ว เป็นธรรมชาติไม่ลืมหลง, สมัยนั้น สติสัมโพชฌงค์
ก็เป็นอันว่าภิกษุนั้นปรารภแล้ว; สมัยนั้นภิกษุชื่อว่า
ย่อมเจริญสติสัมโพชฌงค์; สมัยนั้นสติสัมโพชฌงค์ของ
ภิกษุนั้น ชื่อว่าถึงความเต็มรอบแห่งการเจริญ; ภิกษุนั้น

48 พุ ท ธ ว จ น
เมื่อเป็นผู้มีสติเช่นนั้นอยู่ ชื่อว่าย่อมทำการเลือก ย่อมทำ
การเฟ้น ย่อมทำการใคร่ครวญ ซึ่งธรรมนั้นด้วยปัญญา.

      ภิกษุทั้งหลาย ! สมัยใด ภิกษุเป็นผู้มีสติเช่นนั้นอยู่
ทำการเลือกเฟ้น ใคร่ครวญธรรมนั้นอยู่ด้วยปัญญา, สมัยนั้น
ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ ก็เป็นอันว่าภิกษุนั้นปรารภแล้ว,
สมัยนั้นภิกษุชื่อว่าย่อมเจริญธัมมวิจยสัมโพชฌงค์, สมัยนั้น
ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ของภิกษุชื่อว่าถึงความเต็มรอบแห่ง
การเจริญ. ภิกษุนั้น เมื่อเลือกเฟ้น ใคร่ครวญอยู่ซึ่งธรรม
นั้นด้วยปัญญา ความเพียรอันไม่ย่อหย่อน ชื่อว่าเป็น
ธรรมอันภิกษุนั้นปรารภแล้ว.
      ภิกษุทั้งหลาย ! สมัยใด ความเพียรไม่ย่อหย่อน
อันภิกษุผู้เลือกเฟ้น ใคร่ครวญในธรรมนั้นด้วยปัญญา,
สมัยนั้น วิริยสัมโพชฌงค์ ก็เป็นอันว่าภิกษุนั้นปรารภแล้ว,
สมัยนั้นภิกษุชื่อว่าย่อมเจริญวิริยสัมโพชฌงค์, สมัยนั้น
วิริยสัมโพชฌงค์ของภิกษุชื่อว่าถึงความเต็มรอบแห่งการเจริญ.
ภิกษุนั้น เมื่อมีความเพียรอันปรารภแล้ว ปีติอันเป็นนิรามิส
ก็เกิดขึ้น.

ฉบับ ๔ มรรค วิธีที่ ง่าย 49
      ภิกษุทั้งหลาย ! สมัยใด ปีติอันเป็นนิรามิส เกิดขึ้น
แก่ภิกษุผู้มีความเพียรอันปรารภแล้ว, สมัยนั้น ปีติสัมโพชฌงค์
ก็เป็นอันว่าภิกษุนั้นปรารภแล้ว, สมัยนั้น ภิกษุชื่อว่าย่อม
เจริญปีติสัมโพชฌงค์, สมัยนั้นปีติสัมโพชฌงค์ของภิกษุ
ชื่อว่าถึงความเต็มรอบแห่งการเจริญ. ภิกษุนั้น เมื่อมีใจ
ประกอบด้วยปีติ แม้กายก็รำงับ แม้จิตก็รำงับ.
       ภิกษุทั้งหลาย ! สมัยใด ทั้งกายและทั้งจิต
ของภิกษุผู้มีใจประกอบด้วยปีติ ย่อมรำ�งับ, สมัยนั้น
ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ ก็เป็นอันว่าภิกษุนั้นปรารภแล้ว,
สมัยนั้นภิกษุชื่อว่าย่อมเจริญปัสสัทธิสัมโพชฌงค์, สมัยนั้น
ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ของภิกษุชื่อว่าถึงความเต็มรอบแห่ง
การเจริญ. ภิกษุนั้น เมื่อเลือกเฟ้น ใคร่ครวญอยู่ซึ่งธรรม
นั้นด้วยปัญญา ความเพียรอันไม่ย่อหย่อน ชื่อว่าเป็น
ธรรมอันภิกษุนั้นปรารภแล้ว.
ภิกษุทั้งหลาย ! สมัยใด ความเพียรไม่ย่อหย่อน
อันภิกษุผู้เลือกเฟ้น ใคร่ครวญในธรรมนั้นด้วยปัญญา,
สมัยนั้น วิริยสัมโพชฌงค์ ก็เป็นอันว่าภิกษุนั้นปรารภแล้ว,
สมัยนั้นภิกษุชื่อว่าย่อมเจริญวิริยสัมโพชฌงค์, สมัยนั้น
วิริยสัมโพชฌงค์ของภิกษุชื่อว่าถึงความเต็มรอบแห่งการเจริญ.
ภิกษุนั้น เมื่อมีความเพียรอันปรารภแล้ว ปีติอันเป็นนิรามิส
ก็เกิดขึ้น.

ฉบับ ๔ มรรค วิธีที่ ง่าย 49
       ภิกษุทั้งหลาย ! สมัยใด ปีติอันเป็นนิรามิส เกิดขึ้น
แก่ภิกษุผู้มีความเพียรอันปรารภแล้ว, สมัยนั้น ปีติสัมโพชฌงค์
ก็เป็นอันว่าภิกษุนั้นปรารภแล้ว, สมัยนั้น ภิกษุชื่อว่าย่อม
เจริญปีติสัมโพชฌงค์, สมัยนั้นปีติสัมโพชฌงค์ของภิกษุ
ชื่อว่าถึงความเต็มรอบแห่งการเจริญ. ภิกษุนั้น เมื่อมีใจ
ประกอบด้วยปีติ แม้กายก็รำงับ แม้จิตก็รำงับ.
     ภิกษุทั้งหลาย ! สมัยใด ทั้งกายและทั้งจิต
ของภิกษุผู้มีใจประกอบด้วยปีติ ย่อมรำงับ, สมัยนั้น
ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ ก็เป็นอันว่าภิกษุนั้นปรารภแล้ว,
สมัยนั้นภิกษุชื่อว่าย่อมเจริญปัสสัทธิสัมโพชฌงค์, สมัยนั้น
ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ของภิกษุชื่อว่าถึงความเต็มรอบแห่ง
การเจริญ. ภิกษุนั้น เมื่อมีกายอันรำงับแล้ว มีความสุขอยู่
จิตย่อมตั้งมั่น.
      ภิกษุทั้งหลาย ! สมัยใด จิตของภิกษุผู้มีกาย
อันรำงับแล้วมีความสุขอยู่ ย่อมตั้งมั่น, สมัยนั้น สมาธิ-
สัมโพชฌงค์ ก็เป็นอันว่าภิกษุนั้นปรารภแล้ว, สมัยนั้น
      ภิกษุชื่อว่าย่อมเจริญสมาธิสัมโพชฌงค์, สมัยนั้นสมาธิ-
สัมโพชฌงค์ของภิกษุชื่อว่าถึงความเต็มรอบแห่งการเจริญ.

50 พุ ท ธ ว จ น
ภิกษุนั้น ย่อมเป็นผู้เข้า ไปเพ่งเฉพาะซึ่งจิตอันตั้งมั่นแล้ว
อย่างนั้นเป็นอย่างดี.
      ภิกษุทั้งหลาย ! สมัยใด ภิกษุเป็นผู้เข้าไปเพ่ง
เฉพาะซึ่งจิตอันตั้งมั่นแล้วอย่างนั้น เป็นอย่างดี, สมัยนั้น
อุเบกขาสัมโพชฌงค์ ก็เป็นอันว่าภิกษุนั้นปรารภแล้ว,
สมัยนั้น ภิกษุชื่อว่าย่อมเจริญอุเบกขาสัมโพชฌงค์, สมัยนั้น
อุเบกขาสัมโพชฌงค์ของภิกษุชื่อว่าถึงความเต็มรอบแห่ง
การเจริญ.
     ภิกษุทั้งหลาย ! สติปัฏฐานทั้ง ๔ อันบุคคล
เจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว อย่างนี้แล ย่อมทำโพชฌงค์ทั้ง ๗
ให้บริบูรณ์ได้.
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 24 พฤษภาคม 2013, 08:15:53 น. โดย สายฝน »

ออฟไลน์ ขลุ่ย

  • ตัวแทนจำหน่าย
  • ขี้โม้ระดับสุดยอด
  • **
  • กระทู้: 5753
  • HL#740DB29C @ 6C8A4886 เจ้าอาวาส
Re: พุทธวจนสวัสดี
« ตอบกลับ #27 เมื่อ: วันที่ 24 พฤษภาคม 2013, 08:09:04 น. »
คิด ๆ แล้วอยากบวชซ๊ะแล้ว



ออฟไลน์ Nineyod

  • คณะบริหาร
  • ขี้โม้ระดับสุดยอด
  • ****
  • กระทู้: 14347
  • 4864146E/786AD800 [วิทยา]8008FCC9
Re: พุทธวจนสวัสดี
« ตอบกลับ #28 เมื่อ: วันที่ 24 พฤษภาคม 2013, 08:12:44 น. »
ธรรมสวัสดี

ออฟไลน์ สายฝน

  • ตัวแทนจำหน่าย
  • ระดับ 4
  • **
  • กระทู้: 333
  • 440842cc (X-MEN)
Re: พุทธวจนสวัสดี
« ตอบกลับ #29 เมื่อ: วันที่ 24 พฤษภาคม 2013, 08:20:51 น. »
ฉบับ ๔ มรรค วิธีที่ ง่าย 51
โพชฌงค์บริบูรณ์
ย่อมทำวิชชาและวิมุตติให้บริบูรณ์

     ภิกษุทั้งหลาย ! โพชฌงค์ทั้ง ๗ อันบุคคลเจริญแล้ว
ทำให้มากแล้วอย่างไรเล่า จึงจะทำ�วิชชาและวิมุตติให้
บริบูรณ์ได้ ?
     ภิกษุทั้งหลาย ! ภิกษุในกรณีนี้
     ย่อมเจริญ สติสัมโพชฌงค์ อันอาศัยวิเวก
อันอาศัยวิราคะ (ความจางคลาย) อันอาศัยนิโรธ (ความดับ)
อันน้อมไปเพื่อโวสสัคคะ (ความสละ, ความปล่อย);
     ย่อมเจริญ ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ อันอาศัยวิเวก
อันอาศัยวิราคะ อันอาศัยนิโรธ อันน้อมไปเพื่อโวสสัคคะ;
     ย่อมเจริญ วิริยสัมโพชฌงค์ อันอาศัยวิเวก
อันอาศัยวิราคะ อันอาศัยนิโรธ อันน้อมไปเพื่อโวสสัคคะ;
     ย่อมเจริญ ปีติสัมโพชฌงค์ อันอาศัยวิเวก
อันอาศัยวิราคะ อันอาศัยนิโรธ อันน้อมไปเพื่อโวสสัคคะ;

52 พุ ท ธ ว จ น
    ย่อมเจริญ ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ อันอาศัยวิเวก
อันอาศัยวิราคะ อันอาศัยนิโรธ อันน้อมไปเพื่อโวสสัคคะ;
    ย่อมเจริญ สมาธิสัมโพชฌงค์ อันอาศัยวิเวก
อันอาศัยวิราคะ อันอาศัยนิโรธ อันน้อมไปเพื่อโวสสัคคะ;
    ย่อมเจริญ อุเบกขาสัมโพชฌงค์ อันอาศัยวิเวก
อันอาศัยวิราคะ อันอาศัยนิโรธ อันน้อมไปเพื่อโวสสัคคะ;
ภิกษุทั้งหลาย ! โพชฌงค์ทั้ง ๗ อันบุคคลเจริญแล้ว
ทำให้มากแล้ว อย่างนี้แล ย่อมทำวิชชาและวิมุตติให้
บริบูรณ์ได้, ดังนี้.
มหาวาร. สํ. ๑๙/๔๒๔/๑๔๐๒-๑๔๐๓.
(หมายเหตุผู้รวบรวม : พระสูตรที่ทรงตรัสเหมือนกันกับพระสูตรข้างบนนี้
ยังมีอีกคือ ปฐมอานันทสูตร มหาวาร. สํ. ๑๙/๔๑๗-๔๒๓/๑๓๘๑-๑๓๙๘.
ทุติยอานันทสูตร มหาวาร. สํ. ๑๙/๔๒๓-๔๒๔/๑๓๙๙-๑๔๐๑. ทุติยภิกขุสูตร
มหาวาร. สํ. ๑๙/๔๒๕/๑๔๐๔-๑๔๐๕.).

ออฟไลน์ สายฝน

  • ตัวแทนจำหน่าย
  • ระดับ 4
  • **
  • กระทู้: 333
  • 440842cc (X-MEN)
Re: พุทธวจนสวัสดี
« ตอบกลับ #30 เมื่อ: วันที่ 24 พฤษภาคม 2013, 09:32:35 น. »
คิด ๆ แล้วอยากบวชซ๊ะแล้ว




สาธุ

ออฟไลน์ สายฝน

  • ตัวแทนจำหน่าย
  • ระดับ 4
  • **
  • กระทู้: 333
  • 440842cc (X-MEN)
Re: พุทธวจนสวัสดี
« ตอบกลับ #31 เมื่อ: วันที่ 24 พฤษภาคม 2013, 09:35:14 น. »

ออฟไลน์ อยู่ไกลเมืองสยาม

  • ลงทะเบียน HL
  • ระดับ 5
  • *
  • กระทู้: 1373
  • 6DDAD9CC ครูภูม 6EE748A7 (MP) 55E5ED73 ไก่ต๊อก
Re: พุทธวจนสวัสดี
« ตอบกลับ #32 เมื่อ: วันที่ 24 พฤษภาคม 2013, 09:43:50 น. »
คำสอนของพระองค์ เป็นอกาลิโก...  :flower: :flower: :flower:

ออฟไลน์ สายฝน

  • ตัวแทนจำหน่าย
  • ระดับ 4
  • **
  • กระทู้: 333
  • 440842cc (X-MEN)
Re: พุทธวจนสวัสดี
« ตอบกลับ #33 เมื่อ: วันที่ 24 พฤษภาคม 2013, 09:45:33 น. »
54 พุ ท ธ ว จ น
๑๒
ปฏิปทาเป็นที่สบาย
แก่การบรรลุนิพพาน
(นัยที่ ๑)
     ภิกษุทั้งหลาย ! เราจักแสดง ปฏิปทาเป็นที่
สบายแก่การบรรลุนิพพาน แก่พวกเธอ. พวกเธอจงฟัง
จงทำในใจให้ดี เราจักกล่าว.
     ภิกษุทั้งหลาย ! ปฏิปทาเป็นที่สบายแก่การ
บรรลุนิพพานนั้น เป็นอย่างไรเล่า ?
     ภิกษุทั้งหลาย ! ภิกษุในกรณีนี้
ย่อมเห็นซึ่ง จักษุ ว่า ไม่เที่ยง;
ย่อมเห็นซึ่ง รูปทั้งหลาย ว่า ไม่เที่ยง;
ย่อมเห็นซึ่ง จักขุวิญญาณ ว่า ไม่เที่ยง;
ย่อมเห็นซึ่ง จักขุสัมผัส ว่า ไม่เที่ยง;

ฉบับ ๔ มรรค วิธีที่ ง่าย 55
ย่อมเห็นซึ่ง เวทนา อันเป็นสุข เป็นทุกข์ หรือ
เป็นอทุกขมสุข (ไม่ทุกข์ไม่สุข) ที่เกิดขึ้นเพราะจักขุสัมผัส
เป็นปัจจัย ว่า ไม่เที่ยง.
(ในกรณีแห่ง โสตะ (หู) ฆานะ (จมูก) ชิวหา (ลิ้น)
กายะ (กาย) และมนะ (ใจ) ก็ได้ตรัสต่อไปด้วยข้อความอย่าง
เดียวกัน ทุกตัวอักษร ต่างกันแต่ชื่อเท่านั้น).
     ภิกษุทั้งหลาย ! นี้แล คือปฏิปทาเป็นที่สบาย
แก่การบรรลุนิพพาน นั้น.
สฬา. สํ. ๑๘/๑๖๗/๒๓๒.

ออฟไลน์ สายฝน

  • ตัวแทนจำหน่าย
  • ระดับ 4
  • **
  • กระทู้: 333
  • 440842cc (X-MEN)
Re: พุทธวจนสวัสดี
« ตอบกลับ #34 เมื่อ: วันที่ 24 พฤษภาคม 2013, 09:47:02 น. »
56 พุ ท ธ ว จ น
๑๓
ปฏิปทาเป็นที่สบาย
แก่การบรรลุนิพพาน
(นัยที่ ๒)
     ภิกษุทั้งหลาย ! เราจักแสดง ปฏิปทาเป็นที่
สบายแก่การบรรลุนิพพาน แก่พวกเธอ. พวกเธอจงฟัง
จงทำในใจให้ดี เราจักกล่าว.
     ภิกษุทั้งหลาย ! ปฏิปทาเป็นที่สบายแก่การ
บรรลุนิพพานนั้น เป็นอย่างไรเล่า ?
     ภิกษุทั้งหลาย ! ภิกษุในกรณีนี้
ย่อมเห็นซึ่ง จักษุ ว่า เป็นทุกข์;
ย่อมเห็นซึ่ง รูปทั้งหลาย ว่า เป็นทุกข์;
ย่อมเห็นซึ่ง จักขุวิญญาณ ว่า เป็นทุกข์;
ย่อมเห็นซึ่ง จักขุสัมผัส ว่า เป็นทุกข์;

ฉบับ ๔ มรรค วิธีที่ ง่าย 57
     ย่อมเห็นซึ่ง เวทนา อันเป็นสุข เป็นทุกข์ หรือ
เป็นอทุกขมสุข (ไม่ทุกข์ไม่สุข) ที่เกิดขึ้นเพราะจักขุสัมผัส
เป็นปัจจัย ว่า เป็นทุกข์.
(ในกรณีแห่ง โสตะ (หู) ฆานะ (จมูก) ชิวหา (ลิ้น)
กายะ (กาย) และมนะ (ใจ) ก็ได้ตรัสต่อไปด้วยข้อความอย่างเดียวกัน
ทุกตัวอักษร ต่างกันแต่ชื่อเท่านั้น).
     ภิกษุทั้งหลาย ! นี้แล คือปฏิปทาเป็นที่สบาย
แก่การบรรลุนิพพาน นั้น.
สฬา. สํ. ๑๘/๑๖๘/๒๓๓.

ออฟไลน์ สายฝน

  • ตัวแทนจำหน่าย
  • ระดับ 4
  • **
  • กระทู้: 333
  • 440842cc (X-MEN)
Re: พุทธวจนสวัสดี
« ตอบกลับ #35 เมื่อ: วันที่ 24 พฤษภาคม 2013, 09:48:34 น. »
58 พุ ท ธ ว จ น
๑๔
ปฏิปทาเป็นที่สบาย
แก่การบรรลุนิพพาน
(นัยที่ ๓)

   ภิกษุทั้งหลาย ! เราจักแสดง ปฏิปทาเป็นที่
สบายแก่การบรรลุนิพพาน แก่พวกเธอ. พวกเธอจงฟัง
จงทำในใจให้ดี เราจักกล่าว.
   ภิกษุทั้งหลาย ! ปฏิปทาเป็นที่สบายแก่การ
บรรลุนิพพานนั้น เป็นอย่างไรเล่า ?
   ภิกษุทั้งหลาย ! ภิกษุในกรณีนี้
ย่อมเห็นซึ่ง จักษุ ว่า เป็นอนัตตา;
ย่อมเห็นซึ่ง รูปทั้งหลาย ว่า เป็นอนัตตา;
ย่อมเห็นซึ่ง จักขุวิญญาณ ว่า เป็นอนัตตา;
ย่อมเห็นซึ่ง จักขุสัมผัส ว่า เป็นอนัตตา;

ฉบับ ๔ มรรค วิธีที่ ง่าย 59
    ย่อมเห็นซึ่ง เวทนา อันเป็นสุข เป็นทุกข์ หรือ
เป็นอทุกขมสุข (ไม่ทุกข์ไม่สุข) ที่เกิดขึ้นเพราะจักขุสัมผัส
เป็นปัจจัย ว่า เป็นอนัตตา.
(ในกรณีแห่ง โสตะ (หู) ฆานะ (จมูก) ชิวหา (ลิ้น)
กายะ (กาย) และมนะ (ใจ) ก็ได้ตรัสต่อไปด้วยข้อความอย่างเดียวกัน
ทุกตัวอักษร ต่างกันแต่ชื่อเท่านั้น).
    ภิกษุทั้งหลาย ! นี้แล คือปฏิปทาเป็นที่สบาย
แก่การบรรลุนิพพาน นั้น.
สฬา. สํ. ๑๘/๑๖๘/๒๓๔.

ออฟไลน์ สายฝน

  • ตัวแทนจำหน่าย
  • ระดับ 4
  • **
  • กระทู้: 333
  • 440842cc (X-MEN)
Re: พุทธวจนสวัสดี
« ตอบกลับ #36 เมื่อ: วันที่ 24 พฤษภาคม 2013, 09:52:41 น. »
60 พุ ท ธ ว จ น
๑๕
ปฏิปทาเป็นที่สบาย
แก่การบรรลุนิพพาน
(นัยที่ ๔)

     ภิกษุทั้งหลาย ! เราจักแสดง ปฏิปทาเป็นที่
สบายแก่การบรรลุนิพพาน แก่พวกเธอ. พวกเธอจงฟัง
จงทำในใจให้ดี เราจักกล่าว.
     ภิกษุทั้งหลาย ! ปฏิปทาเป็นที่สบายแก่การ
บรรลุนิพพานนั้น เป็นอย่างไรเล่า ?
     ภิกษุทั้งหลาย ! พวกเธอจะสำคัญความข้อนี้
ว่าอย่างไร : จักษุเที่ยงหรือไม่เที่ยง ?
“ไม่เที่ยง พระเจ้าข้า !”.
สิ่งใดไม่เที่ยง, สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือสุขเล่า ?
“เป็นทุกข์ พระเจ้าข้า !”.
สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนไปเป็น
ธรรมดา, ควรหรือหนอที่จะตามเห็นสิ่งนั้นว่า “นั่นของเรา
(เอตํ มม), นั่นเป็นเรา (เอโสหมสฺมิ), นั่นเป็นอัตตาของเรา
(เอโส เม อตฺตา)” ดังนี้ ?

ฉบับ ๔ มรรค วิธีที่ ง่าย 61
    “ไม่ควรตามเห็นอย่างนั้น พระเจ้าข้า !”.
(ต่อไป ได้ตรัสถามและภิกษุตอบ เกี่ยวกับ รูป...จักขุ-
วิญญาณ...จักขุสัมผัส...จักขุสัมผัสสชาเวทนา, ซึ่งมีข้อความอย่าง
เดียวกันกับในกรณีแห่งจักษุนั้นทุกประการ ต่างกันแต่ชื่อเท่านั้น
เมื่อตรัสข้อความในกรณีแห่งอายตนิกธรรมหมวดจักษุ
จบลงดังนี้แล้ว ได้ตรัสข้อความในกรณีแห่ง อายตนิกธรรมหมวด
โสตะ หมวดฆานะ หมวดชิวหา หมวดกายะ และหมวดมนะ
ต่อไปอีก ซึ่งมีข้อความที่ตรัสอย่างเดียวกันกับในกรณีแห่ง
อายตนิกธรรมหมวดจักษุนั้นทุกประการ ต่างกันแต่เพียงชื่อเท่านั้น
ผู้ศึกษาพึงเทียบเคียงได้เอง).
    ภิกษุทั้งหลาย ! อริยสาวกผู้มีการสดับ เมื่อเห็นอยู่
อย่างนี้
ย่อมเบื่อหน่ายแม้ใน จักษุ;
ย่อมเบื่อหน่ายแม้ใน รูป;
ย่อมเบื่อหน่ายแม้ใน จักขุวิญญาณ;
ย่อมเบื่อหน่ายแม้ใน จักขุสัมผัส;
ย่อมเบื่อหน่ายใน เวทนา อันเป็นสุข เป็นทุกข์
หรือเป็นอทุกขมสุข (ไม่ทุกข์ไม่สุข) ที่เกิดขึ้นเพราะ
จักขุสัมผัสเป็นปัจจัย;

62 พุ ท ธ ว จ น
    (ในกรณีแห่งอายตนิกธรรมหมวดโสตะ ฆานะ ชิวหา
กายะ มนะ ก็ได้ตรัสต่อไปอีก โดยนัยอย่างเดียวกันกับกรณีแห่ง
อายตนิกธรรมหมวดจักษุนี้);
เมื่อเบื่อหน่าย ย่อม คลายกำหนัด;
เพราะคลายกำหนัด ย่อม หลุดพ้น;
เมื่อหลุดพ้นแล้ว ย่อมมี ญาณหยั่งรู้ว่าหลุดพ้นแล้ว.
อริยสาวกนั้น ย่อม รู้ชัดว่า
“ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว
กิจที่ควรทำได้ทำสำเร็จแล้ว
กิจอื่นที่จะต้องทำเพื่อความเป็นอย่างนี้ มิได้มีอีก”.
    ภิกษุทั้งหลาย ! นี้แล คือ ปฏิปทาเป็นที่สบาย
แก่การบรรลุนิพพาน นั้น.
สฬา. สํ. ๑๘/๑๖๙/๒๓๕.

ออฟไลน์ สายฝน

  • ตัวแทนจำหน่าย
  • ระดับ 4
  • **
  • กระทู้: 333
  • 440842cc (X-MEN)
Re: พุทธวจนสวัสดี
« ตอบกลับ #37 เมื่อ: วันที่ 24 พฤษภาคม 2013, 09:55:53 น. »
ฉบับ ๔ มรรค วิธีที่ ง่าย 63
๑๖
กระจายเสีย ซึ่งผัสสะ

    ภิกษุทั้งหลาย !
วิญญาณย่อมมีขึ้น เพราะอาศัยธรรม ๒ อย่าง.
สองอย่างอะไรเล่า ? สองอย่างคือ :-
ภิกษุทั้งหลาย ! เพราะอาศัยซึ่ง จักษุ ด้วย
ซึ่ง รูปทั้งหลาย ด้วย จักขุวิญญาณ จึงเกิดขึ้น. จักษุเป็น
สิ่งที่ไม่เที่ยง มีความแปรปรวน มีความเป็นไปโดยประการอื่น;
รูปทั้งหลายเป็นสิ่งที่ไม่เที่ยง มีความแปรปรวน มีความเป็นไป
โดยประการอื่น : ธรรมทั้งสอง (จักษุ+รูป) อย่างนี้แล
เป็นสิ่งที่หวั่นไหวด้วย อาพาธด้วย ไม่เที่ยง มีความ
แปรปรวน มีความเป็นไปโดยประการอื่น; จักขุวิญญาณ
เป็นสิ่งที่ไม่เที่ยง มีความแปรปรวน มีความเป็นไปโดย
ประการอื่น; เหตุอันใดก็ตาม ปัจจัยอันใดก็ตาม เพื่อความ
เกิดขึ้นแห่งจักขุวิญญาณ, แม้ เหตุ อันนั้น แม้ ปัจจัย อันนั้น

64 พุ ท ธ ว จ น
    ก็ล้วนเป็นสิ่งที่ไม่เที่ยง มีความแปรปรวน มีความเป็นไป
โดยประการอื่น. ภิกษุทั้งหลาย ! จักขุวิญญาณเกิดขึ้นแล้ว
เพราะอาศัยปัจจัยที่ไม่เที่ยงดังนี้ จักขุวิญญาณจักเป็นของ
เที่ยงมาแต่ไหน.
ภิกษุทั้งหลาย ! ความประจวบพร้อม ความ
ประชุมพร้อม ความมาพร้อมกันแห่งธรรมทั้งหลาย
(จักษุ+รูป+จักขุวิญญาณ) ๓ อย่าง เหล่านี้ อันใดแล;
ภิกษุทั้งหลาย ! อันนี้เราเรียกว่า จักขุสัมผัส. ภิกษุ
ทั้งหลาย ! แม้ จักขุสัมผัส ก็เป็นสิ่งที่ไม่เที่ยง มีความ
แปรปรวน มีความเป็นไปโดยประการอื่น. เหตุอันใดก็ตาม
ปัจจัยอันใดก็ตาม เพื่อความเกิดขึ้นแห่งจักขุสัมผัส,
แม้ เหตุ อันนั้น แม้ ปัจจัย อันนั้น ก็ล้วนเป็นสิ่งที่
ไม่เที่ยง มีความแปรปรวน มีความเป็นไปโดยประการอื่น.
ภิกษุทั้งหลาย ! จักขุสัมผัสเกิดขึ้นแล้ว เพราะอาศัยปัจจัย
ที่ไม่เที่ยงดังนี้ จักขุสัมผัสจักเป็นของเที่ยง มาแต่ไหน.

ฉบับ ๔ มรรค วิธีที่ ง่าย 65
    ภิกษุทั้งหลาย ! บุคคลที่ผัสสะกระทบแล้วย่อม
รู้สึก (เวเทติ), ผัสสะกระทบแล้วย่อม คิด (เจเตติ), ผัสสะ
กระทบแล้วย่อม จำได้หมายรู้ (สญฺชานาติ) : แม้ธรรมทั้งหลาย
(เวทนา, เจตนา, สัญญา) อย่างนี้เหล่านี้ ก็ล้วนเป็นสิ่งที่หวั่นไหว
ด้วย อาพาธด้วย ไม่เที่ยง มีความแปรปรวน มีความเป็นไป
โดยประการอื่น;
(ในกรณีแห่งโสตวิญญาณก็ดี, ฆานวิญญาณก็ดี, ชิวหา-
วิญญาณก็ดี, กายวิญญาณก็ดี, ก็มีนัยเดียวกัน).
    ภิกษุทั้งหลาย ! เพราะอาศัยซึ่ง มโนด้วย ซึ่ง
ธรรมารมณ์ทั้งหลายด้วย มโนวิญญาณ จึงเกิดขึ้น.
มโนเป็นสิ่งที่ไม่เที่ยง มีความแปรปรวน มีความเป็นไป
โดยประการอื่น; ธรรมารมณ์ทั้งหลายเป็นสิ่งที่ไม่เที่ยง
มีความแปรปรวน มีความเป็นไปโดยประการอื่น :
ธรรมทั้งสอง (มโน+ธรรมารมณ์) อย่างนี้แล เป็นสิ่งที่
หวั่นไหวด้วย อาพาธด้วย ไม่เที่ยง มีความแปรปรวน
มีความเป็นไปโดยประการอื่น; มโนวิญญาณเป็นสิ่งที่
ไม่เที่ยง มีความแปรปรวน มีความเป็นไปโดยประการอื่น;

66 พุ ท ธ ว จ น
เหตุอันใดก็ตาม ปัจจัยอันใดก็ตาม เพื่อความเกิดขึ้น
แห่งมโนวิญญาณ, แม้ เหตุ อันนั้น แม้ ปัจจัย อันนั้น
ก็ล้วนเป็นสิ่งที่ไม่เที่ยง มีความแปรปรวน มีความเป็นไป
โดยประการอื่น. ภิกษุทั้งหลาย ! มโนวิญญาณเกิดขึ้นแล้ว
เพราะอาศัยปัจจัยที่ไม่เที่ยงดังนี้ มโนวิญญาณจักเป็น
ของเที่ยงมาแต่ไหน.
    ภิกษุทั้งหลาย ! ความประจวบพร้อม ความ
ประชุมพร้อม ความมาพร้อมกันแห่งธรรมทั้งหลาย
(มโน+ธรรมารมณ์+มโนวิญญาณ) ๓ อย่าง เหล่านี้
อันใดแล; ภิกษุทั้งหลาย ! อันนี้เราเรียกว่า มโนสัมผัส.
    ภิกษุทั้งหลาย ! แม้มโนสัมผัส ก็เป็นสิ่งที่ไม่เที่ยง มีความ
แปรปรวน มีความเป็นไปโดยประการอื่น. เหตุอันใดก็ตาม
ปัจจัยอันใดก็ตาม เพื่อความเกิดขึ้นแห่งมโนสัมผัส, แม้ เหตุ
อันนั้น แม้ ปัจจัย อันนั้น ก็ล้วนเป็นสิ่งที่ไม่เที่ยง มีความ
แปรปรวน มีความเป็นไปโดยประการอื่น. ภิกษุทั้งหลาย !
มโนสัมผัสเกิดขึ้นแล้ว เพราะอาศัยปัจจัยที่ไม่เที่ยงดังนี้
มโนสัมผัสจักเป็นของเที่ยงมาแต่ไหน.

ฉบับ ๔ มรรค วิธีที่ ง่าย 67
ภิกษุทั้งหลาย ! บุคคลที่ผัสสะกระทบแล้วย่อม
รู้สึก (เวเทติ), ผัสสะกระทบแล้วย่อม คิด (เจเตติ),
ผัสสะกระทบแล้วย่อม จำได้หมายรู้ (สญฺชานาติ) : แม้
ธรรมทั้งหลาย (เวทนา, เจตนา, สัญญา) อย่างนี้เหล่านี้
ก็ล้วนเป็นสิ่งที่หวั่นไหวด้วย อาพาธด้วย ไม่เที่ยง
มีความแปรปรวน มีความเป็นไปโดยประการอื่น.
สฬา. สํ. ๑๘/๘๕/๑๒๔-๗.
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 24 พฤษภาคม 2013, 09:58:34 น. โดย สายฝน »

ออฟไลน์ สายฝน

  • ตัวแทนจำหน่าย
  • ระดับ 4
  • **
  • กระทู้: 333
  • 440842cc (X-MEN)
Re: พุทธวจนสวัสดี
« ตอบกลับ #38 เมื่อ: วันที่ 24 พฤษภาคม 2013, 10:01:39 น. »
68 พุ ท ธ ว จ น
๑๗
เจริญอริยมรรคมีองค์ ๘ ด้วยวิธีลัด

    ภิกษุทั้งหลาย !
เมื่อรู้เมื่อเห็นอยู่ ซึ่ง จักษุ ตามที่เป็นจริง;
เมื่อรู้เมื่อเห็นอยู่ ซึ่ง รูปทั้งหลาย ตามที่เป็นจริง;
เมื่อรู้เมื่อเห็นอยู่ ซึ่ง จักขุวิญญาณ ตามที่เป็นจริง;
เมื่อรู้เมื่อเห็นอยู่ ซึ่ง จักขุสัมผัส ตามที่เป็นจริง;
เมื่อรู้เมื่อเห็นอยู่ ซึ่ง เวทนา อันเกิดขึ้นเพราะ
    จักขุสัมผัสเป็นปัจจัย สุขก็ตาม ทุกข์ก็ตาม อทุกขมสุขก็ตาม,
ตามที่เป็นจริง; บุคคล ย่อมไม่กำหนัดยินดี ในจักษุ,
ย่อมไม่กำหนัดยินดี ในรูปทั้งหลาย, ย่อมไม่กำ�หนัดยินดี
ในจักขุวิญญาณ, ย่อมไม่กำหนัดยินดี ในจักขุสัมผัส,
ย่อมไม่กำหนัดยินดี ในเวทนา อันเกิดขึ้นเพราะจักขุสัมผัส
เป็นปัจจัย สุขก็ตาม ทุกข์ก็ตาม อทุกขมสุขก็ตาม.
เมื่อบุคคลนั้นไม่กำหนัดยินดีแล้ว ไม่ประกอบ
พร้อมแล้ว ไม่หลงใหลแล้ว มีปกติเห็นโทษอยู่;

ฉบับ ๔ มรรค วิธีที่ ง่าย 69
ปัญจุปาทานขันธ์ ย่อมถึงซึ่งความไม่ก่อขึ้นอีกต่อไป
และ ตัณหา อันเครื่องนำมาซึ่งภพใหม่ ประกอบอยู่ด้วย
ความกำหนัด ด้วยอำนาจแห่งความเพลิน ทำให้เพลิน
อย่างยิ่งในอารมณ์นั้นๆ ของบุคคลนั้น ย่อมละไป.
ความกระวนกระวาย ทางกายและทางจิต ก็ละไป;
ความแผดเผา ทางกายและทางจิต ก็ละไป; ความเร่าร้อน
ทางกายและทางจิต ก็ละไป; บุคคลนั้นย่อมเสวยความสุข
ทั้งทางกายและทางจิต
ทิฏฐิของผู้รู้ผู้เห็นอยู่เช่นนั้น เป็น สัมมาทิฏฐิ
ความดำริของผู้รู้ผู้เห็นอยู่เช่นนั้น
เป็น สัมมาสังกัปปะ,
ความเพียรของผู้รู้ผู้เห็นอยู่เช่นนั้น
เป็น สัมมาวายามะ,
สติของผู้รู้ผู้เห็นอยู่เช่นนั้น เป็น สัมมาสติ,
สมาธิของผู้รู้ผู้เห็นอยู่เช่นนั้น เป็น สัมมาสมาธิ.
ส่วน กายกรรม วจีกรรม และอาชีวะ ของเขา

70 พุ ท ธ ว จ น
บริสุทธ์ิมาแล้วแต่เดิม; (ดังนั้นเป็นอันว่า สัมมากัมมันตะ
สัมมาวาจา สัมมาอาชีวะ มีอยู่แล้วอย่างเต็มที่ ในบุคคล
ผู้รู้อยู่ผู้เห็นอยู่เช่นนั้น).
ด้วยอาการอย่างนี้ เป็นอันว่า
อริยอัฏฐังคิกมรรค (อริยมรรคมีองค์ ๘) แห่ง
บุคคลผู้รู้ผู้อยู่เห็นอยู่เช่นนั้น ย่อมถึงซึ่งความบริบูรณ์
แห่งภาวนา ด้วยอาการอย่างนี้.
เมื่อเขาทำอริยอัฏฐังคิกมรรคให้เจริญอยู่
อย่างนี้ สติปัฏฐานสี่ ... สัมมัปปธานสี่ ... อิทธิบาทสี่ ...
อินทรีย์ห้า ... พละห้า ... โพชฌงค์เจ็ด ... ย่อมถึงความ
งอกงามบริบูรณ์ได้แท้. ธรรมสองอย่างของเขาคือ
สมถะและวิปัสสนา ชื่อว่าเข้าคู่กันได้อย่างแน่นแฟ้น...
(ในกรณีแห่ง โสตะ (หู) ฆานะ (จมูก) ชิวหา (ลิ้น)
กายะ (กาย) และมนะ (ใจ) ก็ได้ตรัสต่อไปด้วยข้อความอย่างเดียวกัน).
อุปริ. ม. ๑๔/๕๒๒–๕๒๕/๘๒๘–๘๓๐.

ออฟไลน์ สายฝน

  • ตัวแทนจำหน่าย
  • ระดับ 4
  • **
  • กระทู้: 333
  • 440842cc (X-MEN)
Re: พุทธวจนสวัสดี
« ตอบกลับ #39 เมื่อ: วันที่ 24 พฤษภาคม 2013, 10:03:14 น. »
ฉบับ ๔ มรรค วิธีที่ ง่าย 71
๑๘
เมื่อไม่มีมา ไม่มีไป
ย่อมไม่มีเกิด และไม่มีดับ

    พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ทรงชักชวนภิกษุทั้งหลาย
ด้วยธัมมิกถาอันเนื่องเฉพาะด้วยนิพพาน, ได้ทรงเห็นว่า
ภิกษุทั้งหลายสนใจฟังอย่างยิ่ง จึงได้ตรัสพระพุทธอุทานนี้ขึ้น
ในเวลานั้น ว่า :-
ความหวั่นไหว ย่อมมี
แก่บุคคลผู้อันตัณหาและทิฏฐิอาศัยแล้ว
(นิสฺสิตสฺส จลิตํ)
ความหวั่นไหว ย่อมไม่มี
แก่บุคคลผู้อันตัณหาและทิฏฐิไม่อาศัยแล้ว
(อนิสฺสิตสฺส จลิตํ นตฺถิ)
เมื่อความหวั่นไหวไม่มี, ปัสสัทธิย่อมมี
(จลิเต อสติ ปสฺสทฺธิ)

72 พุ ท ธ ว จ น
เมื่อปัสสัทธิมี, นติ (ความน้อมไป) ย่อมไม่มี
(ปสฺสทฺธิยา สติ นติ น โหติ)
เมื่อนติไม่มี, อาคติคติ (การมาและการไป) ย่อมไม่มี
(นติยา อสติ อาคติคติ น โหติ)
เมื่ออาคติคติไม่มี,
จุตูปปาตะ (การเคลื่อนและการเกิดขึ้น) ย่อมไม่มี
(อาคติคติยา อสติ จุตูปปาโต น โหติ)
เมื่อจุตูปปาตะไม่มี, อะไรๆ ก็ไม่มีในโลกนี้
ไม่มีในโลกอื่น ไม่มีในระหว่างแห่งโลกทั้งสอง
(จุตูปปาเต อสติ เนวิธ น หุรํ น อุภยมนฺตเร)
นั่นแหละ คือที่สุดแห่งทุกข์ละ.
(เอเสวนฺโต ทุกฺขสฺส)
อุ. ขุ. ๒๕/๒๐๘/๑๖๑.

ออฟไลน์ สายฝน

  • ตัวแทนจำหน่าย
  • ระดับ 4
  • **
  • กระทู้: 333
  • 440842cc (X-MEN)
Re: พุทธวจนสวัสดี
« ตอบกลับ #40 เมื่อ: วันที่ 24 พฤษภาคม 2013, 10:04:58 น. »
             
                      สักแต่ว่า

ออฟไลน์ สายฝน

  • ตัวแทนจำหน่าย
  • ระดับ 4
  • **
  • กระทู้: 333
  • 440842cc (X-MEN)
Re: พุทธวจนสวัสดี
« ตอบกลับ #41 เมื่อ: วันที่ 24 พฤษภาคม 2013, 10:05:48 น. »
74 พุ ท ธ ว จ น
๑๙
สักแต่ว่า...
(นัยที่ ๑)

พาหิยะ ! เมื่อใดเธอ
เห็นรูปแล้ว สักว่าเห็น,
ได้ฟังเสียงแล้ว สักว่าฟัง,
ได้กลิ่น, ลิ้มรส, สัมผัสทางผิวกาย,
ก็สักว่าดม, ลิ้ม, สัมผัส,
ได้รู้แจ้งธรรมารมณ์ ก็สักว่าได้รู้แจ้งแล้ว;
เมื่อนั้น “เธอ” จักไม่มี.
เมื่อใด “เธอ” ไม่มี;
เมื่อนั้นเธอก็ไม่ปรากฏในโลกนี้,
ไม่ปรากฏในโลกอื่น,
ไม่ปรากฏในระหว่างแห่งโลกทั้งสอง :
นั่นแหละ คือที่สุดแห่งทุกข์ละ.
อุ. ขุ. ๒๕/๘๓-๘๔/๔๙.

ออฟไลน์ สายฝน

  • ตัวแทนจำหน่าย
  • ระดับ 4
  • **
  • กระทู้: 333
  • 440842cc (X-MEN)
Re: พุทธวจนสวัสดี
« ตอบกลับ #42 เมื่อ: วันที่ 24 พฤษภาคม 2013, 10:08:35 น. »
๒๐
สักแต่ว่า...
(นัยที่ ๒)

     “ข้าแต่พระองค์เจริญ ! ข้าพระองค์เป็นคนชรา เป็น
คนแก่คนเฒ่ามานานผ่านวัยมาตามลำ ดับ. ขอพระผู้มีพระภาค
ทรงแสดงธรรมโดยย่อ ขอพระสุคตจงทรงแสดงธรรมโดยย่อ
ในลักษณะที่ข้าพระองค์จะพึงรู้ทั่วถึงเนื้อความแห่งภาษิตของ
พระผู้มีพระภาคเจ้า ในลักษณะที่ข้าพระองค์จะพึงเป็นทายาท
แห่งภาษิตของพระผู้มีพระภาคเจ้าเถิด พระเจ้าข้า !”.
มาลุงก๎ยบุตร ! ท่านจะสำคัญความข้อนี้ว่า
อย่างไร คือ รูปทั้งหลาย อันรู้สึกกันได้ทางตา เป็นรูปที่
ท่านไม่ได้เห็น ไม่เคยเห็น ที่ท่านกำ�ลังเห็นอยู่ก็ไม่มี ที่ท่าน
คิดว่าท่านควรจะได้เห็นก็ไม่มี ดังนี้แล้ว ความพอใจก็ดี
ความกำหนัดก็ดี ความรักก็ดี ในรูปเหล่านั้น ย่อมมีแก่ท่าน
หรือ ?
“ข้อนั้น หามิได้พระเจ้าข้า !”.
(ต่อไปนี้ ได้มีการตรัสถามและการทูลตอบในทำ�นองเดียวกันนี้
ทุกตัวอักษร ผิดกันแต่ชื่อของสิ่งที่นำมากล่าว คือในกรณีแห่งเสียง
อันรู้สึกกันได้ทางหู ในกรณีแห่ง กลิ่นอันรู้สึกกันได้ทางจมูก

76 พุ ท ธ ว จ น
ในกรณีแห่ง รสอันรู้สึกกันได้ทางลิ้น ในกรณีแห่ง โผฏฐัพพะอัน
รู้สึกกันได้ทางผิวกาย และในกรณีแห่ง ธรรมารมณ์อันรู้สึกกันได้
ทางใจ).
มาลุงก๎ยบุตร ! ในบรรดาสิ่งที่ท่าน พึงเห็น
พึงฟัง พึงรู้สึก พึงรู้แจ้งเหล่านั้น;
ใน สิ่งที่ท่านเห็นแล้ว จักเป็นแต่เพียงสักว่าเห็น;
ใน สิ่งที่ท่านฟังแล้ว จักเป็นแต่เพียงสักว่าได้ยิน;
ใน สิ่งที่ท่านรู้สึกแล้ว (ทางจมูก, ลิ้น, กาย)
จักเป็นแต่เพียงสักว่ารู้สึก;
ใน สิ่งที่ท่านรู้แจ้งแล้ว (ทางวิญญาณ)
ก็จักเป็นแต่เพียงสักว่ารู้แจ้ง.
มาลุงก๎ยบุตร ! เมื่อใดแล ในบรรดาธรรมเหล่านั้น :
เมื่อ สิ่งที่เห็นแล้ว สักว่าเห็น, สิ่งที่ฟังแล้ว สักว่าได้ยิน,
สิ่งที่รู้สึกแล้ว สักว่ารู้สึก, สิ่งที่รู้แจ้งแล้ว สักว่ารู้แจ้ง,
ดังนี้แล้ว;
มาลุงก๎ยบุตร ! เมื่อนั้น ตัวท่านย่อมไม่มี
เพราะเหตุนั้น;

ฉบับ ๔ มรรค วิธีที่ ง่าย 77
มาลุงก๎ยบุตร ! เมื่อใดตัวท่านไม่มีเพราะ
เหตุนั้น, เมื่อนั้น ตัวท่านก็ไม่มีในที่นั้นๆ;
มาลุงก๎ยบุตร ! เมื่อใดตัวท่านไม่มีในที่นั้นๆ,
เมื่อนั้นตัวท่านก็ไม่มีในโลกนี้ ไม่มีในโลกอื่น
ไม่มีในระหว่างโลกทั้งสอง :
นั่นแหละ คือที่สุดแห่งความทุกข์ ดังนี้.
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! ข้าพระองค์รู้ทั่วถึงเนื้อความ
แห่งภาษิตอันพระผู้มีพระภาคตรัสแล้วโดยย่อนี้ ได้โดยพิสดาร
ดังต่อไปนี้ :-
เห็นรูปแล้ว สติหลงลืม ทำในใจซึ่งรูปนิมิตว่า
น่ารัก มีจิตกำหนัดแก่กล้าแล้ว เสวยอารมณ์นั้นอยู่
ความสยบมัวเมาย่อมครอบงำบุคคลนั้น. เวทนาอัน
เกิดจากรูปเป็นอเนกประการ ย่อมเจริญแก่เขานั้น.
อภิชฌาและวิหิงสาย่อมเข้าไปกลุ้มรุมจิตของเขา.
เมื่อสะสมทุกข์อยู่อย่างนี้ ท่านกล่าวว่ายังไกลจากนิพพาน.
(ในกรณีแห่งการฟังเสียง ดมกลิ่น ลิ้มรส ถูกต้อง
โผฏฐัพพะด้วยกาย รู้สึกธรรมารมณ์ด้วยใจ ก็มีข้อความที่กล่าวไว้
อย่างเดียวกัน).

78 พุ ท ธ ว จ น
บุคคลนั้นไม่กำหนัดในรูปทั้งหลาย เห็นรูปแล้ว
มีสติเฉพาะ มีจิตไม่กำหนัดเสวยอารมณ์อยู่ ความ
สยบมัวเมาย่อมไม่ครอบงำบุคคลนั้น. เมื่อเขาเห็นอยู่
ซึ่งรูปตามที่เป็นจริง เสวยเวทนาอยู่ ทุกข์ก็สิ้นไปๆ
ไม่เพิ่มพูนขึ้น เขามีสติประพฤติอยู่ด้วยอาการอย่างนี้,
เมื่อไม่สะสมทุกข์อยู่อย่างนี้ ท่านกล่าวว่าอยู่ใกล้ต่อ
นิพพาน.
(ในกรณีแห่งการฟังเสียง ดมกลิ่น ลิ้มรส ถูกต้อง
โผฏฐัพพะด้วยกาย รู้สึกธรรมารมณ์ด้วยใจ ก็มีข้อความที่กล่าวไว้
อย่างเดียวกัน).
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! ข้าพระองค์รู้ทั่วถึงเนื้อความ
แห่งภาษิตอันพระผู้มีพระภาคตรัสแล้วโดยย่อนี้ ได้โดยพิสดาร
อย่างนี้ พระเจ้าข้า !”.
พระผู้มีพระภาค ทรงรับรองความข้อนั้น ว่า
เป็นการถูกต้อง. ท่านมาลุงก๎ยบุตรหลีกออกสู่ที่สงัด
กระทำความเพียรได้เป็นอรหันต์องค์หนึ่งในศาสนานี้.
สฬา. สํ. ๑๘/๙๐-๙๕/๑๓๒-๑๓๙.

ออฟไลน์ สายฝน

  • ตัวแทนจำหน่าย
  • ระดับ 4
  • **
  • กระทู้: 333
  • 440842cc (X-MEN)
Re: พุทธวจนสวัสดี
« ตอบกลับ #43 เมื่อ: วันที่ 24 พฤษภาคม 2013, 10:10:01 น. »
                 
            สติปัฏฐาน ๔

ออฟไลน์ สายฝน

  • ตัวแทนจำหน่าย
  • ระดับ 4
  • **
  • กระทู้: 333
  • 440842cc (X-MEN)
Re: พุทธวจนสวัสดี
« ตอบกลับ #44 เมื่อ: วันที่ 24 พฤษภาคม 2013, 10:14:13 น. »
80 พุ ท ธ ว จ น
๒๑
มีสติ มีสัมปชัญญะ รอคอยการตาย

    ภิกษุทั้งหลาย !
ภิกษุพึงเป็นผู้มีสติ มีสัมปชัญญะ
เมื่อรอคอยการทำกาละ :
นี้เป็น อนุสาสนีของเราสำหรับพวกเธอทั้งหลาย.
ภิกษุทั้งหลาย ! ภิกษุ เป็นผู้มีสติ เป็นอย่างไรเล่า?
ภิกษุทั้งหลาย ! ภิกษุในกรณีนี้
เป็นผู้เห็นกายในกายอยู่เป็นประจำ มีความเพียร
เผากิเลส มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัส
ในโลกออกเสียได้;
เป็นผู้เห็นเวทนาในเวทนาทั้งหลายอยู่เป็นประจำ...;
เป็นผู้เห็นจิตในจิตอยู่เป็นประจำ...;
เป็นผู้เห็นธรรมในธรรมทั้งหลายอยู่เป็นประจำ
มีความเพียรเผากิเลส มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌา
และโทมนัสในโลกออกเสียได้. อย่างนี้แล ภิกษุทั้งหลาย !
เรียกว่า ภิกษุเป็นผู้มีสติ.

ฉบับ ๔ มรรค วิธีที่ ง่าย 81
    ภิกษุทั้งหลาย ! ภกิ ษุ เปน็ ผ้มู สี มั ปชญั ญะ เปน็
อย่างไรเล่า ?
ภิกษุทั้งหลาย ! ภิกษุในกรณีนี้
เป็นผู้รู้ตัวรอบคอบในการก้าวไปข้างหน้า การ
ถอยกลับไปข้างหลัง, การแลดู การเหลียวดู, การคู้ การเหยียด,
การทรงสังฆาฏิ บาตร จีวร, การฉัน การดื่ม การเคี้ยว การลิ้ม,
การถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ, การไป การหยุด, การนั่ง การนอน,
การหลับ การตื่น, การพูด การนิ่ง. อย่างนี้แล ภิกษุทั้งหลาย !
เรียกว่า ภิกษุเป็นผู้มีสัมปชัญญะ.
    ภิกษุทั้งหลาย !
    ภิกษุพึงเป็นผู้มีสติมีสัมปชัญญะ
เมื่อรอคอยการทำกาละ :
นี้แล เป็นอนุสาสนีของเราสำหรับพวกเธอทั้งหลาย.
ภิกษุทั้งหลาย ! ถ้าเมื่อภิกษุ มีสติ มีสัมปชัญญะ
ไม่ประมาท มีความเพียรเผากิเลส มีตนส่งไปแล้วในธรรม
อยู่อย่างนี้, สุขเวทนา เกิดขึ้น ไซร้; เธอย่อมรู้ชัดอย่างนี้ว่า
“สุขเวทนานี้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา, แต่สุขเวทนานี้ อาศัยเหตุ
ปัจจัยจึงเกิดขึ้นได้ ไม่อาศัยเหตุปัจจัยแล้วหาเกิดขึ้นได้ไม่.

82 พุ ท ธ ว จ น
อาศัยเหตุปัจจัยอะไรเล่า ? อาศัยเหตุปัจจัยคือ กายนี้ นั่นเอง
ก็กายนี้ ไม่เที่ยง มีปัจจัยปรุงแต่ง อาศัยเหตุปัจจัยเกิดขึ้น
สุขเวทนาที่เกิดขึ้นเพราะอาศัยกาย ซึ่งไม่เที่ยง มีปัจจัยปรุงแต่ง
อาศัยเหตุปัจจัยเกิดขึ้น ดังนี้แล้ว จักเป็นสุขเวทนาที่เที่ยง
มาแต่ไหน” ดังนี้. ภิกษุนั้น เป็นผู้ตามเห็นความไม่เที่ยงอยู่
ตามเห็นความเสื่อม ความจางคลายอยู่ ตามเห็นความดับไป
ความสลัดคืนอยู่ในกายและในสุขเวทนา. เมื่อเธอเป็นผู้
ตามเห็นความไม่เที่ยง (เป็นต้น) อยู่ในกายและในสุขเวทนา
อยู่ดังนี้, เธอย่อมละเสียได้ ซึ่ง ราคานุสัย ในกายและ
ในสุขเวทนานั้น.
    ภิกษุนั้น ถ้าเสวย สุขเวทนา ก็รู้ชัดว่า “สุขเวทนา
นั้น เป็นของไม่เที่ยง, และเป็นเวทนาที่เรามิได้มัวเมา
เพลิดเพลินอยู่” ดังนี้. ถ้าเสวย ทุกขเวทนา ก็รู้ชัดว่า
“ทุกขเวทนานั้น เป็นของไม่เที่ยง, และเป็นเวทนาที่เรามิได้
มัวเมาเพลิดเพลินอยู่” ดังนี้. ถ้าเสวย อทุกขมสุขเวทนา
ก็รู้ชัดว่า “อทุกขมสุขเวทนานั้น เป็นของไม่เที่ยง, และเป็น
เวทนาที่เรามิได้มัวเมาเพลิดเพลินอยู่” ดังนี้.

ฉบับ ๔ มรรค วิธีที่ ง่าย 83
ภิกษุนั้น ถ้าเสวย สุขเวทนา ก็เป็นผู้ปราศจากกิเลส
อันเกิดจากเวทนานั้นเป็นเครื่องร้อยรัดแล้ว เสวยเวทนานั้น;
ถ้าเสวย ทุกขเวทนา ก็เป็นผู้ปราศจากกิเลสอันเกิดจาก
เวทนานั้นเป็นเครื่องร้อยรัดแล้ว เสวยเวทนานั้น; ถ้าเสวย
อทุกขมสุขเวทนา ก็เป็นผู้ปราศจากกิเลส อันเกิดจาก
เวทนานั้นเป็นเครื่องร้อยรัดแล้ว เสวยเวทนานั้น. ภิกษุนั้น
เมื่อเสวย เวทนาอันมีกายเป็นที่สุดรอบ ย่อมรู้ชัดว่าเรา
เสวยเวทนาอันมีกายเป็นที่สุดรอบ; เมื่อเสวย เวทนาอัน
มีชีวิตเป็นที่สุดรอบ ย่อมรู้ชัดว่าเราเสวยเวทนาอันมีชีวิต
เป็นที่สุดรอบ. เธอย่อม รู้ชัดว่า เวทนาทั้งปวงอันเรา
ไม่เพลิดเพลินแล้ว จักเป็นของเย็นในอัตตภาพนี้นั่นเทียว
จนกระทั่งถึงที่สุดรอบแห่งชีวิต เพราะการแตกทำลาย
แห่งกาย ดังนี้.
ภิกษุทั้งหลาย ! เปรียบเหมือนประทีปน้ำมัน
ได้อาศัยน้ำมันและไส้แล้วก็ลุกโพลงอยู่ได้, เมื่อขาดปัจจัย
เครื่องหล่อเลี้ยง เพราะขาดนำ้มันและไส้นั้นแล้ว ย่อมดับลง,
นี้ฉันใด; ภิกษุทั้งหลาย ข้อนี้ก็ฉันนั้น คือภิกษุ เมื่อเสวย

84 พุ ท ธ ว จ น
เวทนาอันมีกายเป็นที่สุดรอบ, ก็รู้ชัดว่าเราเสวยเวทนาอัน
มีกายเป็นที่สุดรอบ ดังนี้. เมื่อเสวยเวทนาอันมีชีวิตเป็น
ที่สุดรอบ ก็รู้ชัดว่าเราเสวยเวทนาอันมีชีวิตเป็นที่สุดรอบ
ดังนี้. (เป็นอันว่า) ภิกษุนั้นย่อมรู้ชัดว่า เวทนาทั้งปวงอันเรา
ไม่เพลิดเพลินแล้ว จักเป็นของเย็นในอัตตภาพนี้นั่นเทียว
จนกระทั่งถึงที่สุดรอบแห่งชีวิต เพราะการแตกทำลาย
แห่งกาย ดังนี้.
สฬา. สํ. ๑๘/๒๖๐-๒๖๔/๓๗๔-๓๘๑.
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 24 พฤษภาคม 2013, 10:19:11 น. โดย สายฝน »

ออฟไลน์ สายฝน

  • ตัวแทนจำหน่าย
  • ระดับ 4
  • **
  • กระทู้: 333
  • 440842cc (X-MEN)
Re: พุทธวจนสวัสดี
« ตอบกลับ #45 เมื่อ: วันที่ 24 พฤษภาคม 2013, 10:20:34 น. »

                    การละอวิชชาโดยตรง

ออฟไลน์ สายฝน

  • ตัวแทนจำหน่าย
  • ระดับ 4
  • **
  • กระทู้: 333
  • 440842cc (X-MEN)
Re: พุทธวจนสวัสดี
« ตอบกลับ #46 เมื่อ: วันที่ 24 พฤษภาคม 2013, 10:22:27 น. »
86 พุ ท ธ ว จ น
๒๒
ธรรมทั้งปวง ไม่ควรยึดมั่น

ภิกษุรูปหนึ่ง ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าดังนี้
ว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! ธรรมอย่างหนึ่ง มีอยู่หรือไม่หนอ
ซึ่งเมื่อภิกษุละได้แล้ว อวิชชาย่อมละไป วิชชาย่อมเกิดขึ้น
พระเจ้าข้า ?”.
ภิกษุ ! ธรรมอย่างหนึ่ง มีอยู่แล ...ฯลฯ...
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! ธรรมอย่างหนึ่ง นั้นคืออะไร
เล่าหนอ ...ฯลฯ...?”
ภิกษุ ! อวิชชานั่นแล เป็นธรรมอย่างหนึ่ง ซึ่ง
เมื่อภิกษุละได้แล้ว อวิชชาย่อมละไป วิชชาย่อมเกิดขึ้น.
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! เมื่อภิกษุรู้อยู่อย่างไร เห็นอยู่
อย่างไร อวิชชาจึงจะละไป วิชชาจึงจะเกิดขึ้น พระเจ้าข้า ?”.
ภิกษุ ! หลักธรรมอันภิกษุในกรณีนี้ได้สดับแล้ว
ย่อมมีอยู่ว่า

ฉบับ ๔ มรรค วิธีที่ ง่าย 87
“สิ่งทั้งหลายทั้งปวง อันใครๆ ไม่ควรยึดมั่น ถือมั่น
(ว่าเป็นตัวเรา-ของเรา) (สพฺเพ ธมฺมา นาลํ อภินิเวสาย)” ดังนี้.
ภิกษุ ! ถ้าภิกษุได้สดับหลักธรรมข้อนั้นอย่างนี้ว่า
สิ่งทั้งหลายทั้งปวง อันใครๆ ไม่ควรยึดมั่น ถือมั่น
ดังนี้แล้ว ไซร้,
ภิกษุนั้นย่อมรู้ยิ่งซึ่งธรรมทั้งปวง;
ครั้นรู้ยิ่งซึ่งธรรมทั้งปวงแล้ว,
ย่อมรอบรู้ซึ่งธรรมทั้งปวง;
ครั้นรอบรู้ซึ่งธรรมทั้งปวงแล้ว, ภิกษุนั้น
ย่อมเห็นซึ่ง นิมิตทั้งหลายของสิ่งทั้งปวง
โดยประการอื่น :
ย่อมเห็นซึ่ง จักษุ โดยประการอื่น;
ย่อมเห็นซึ่ง รูปทั้งหลาย โดยประการอื่น;
ย่อมเห็นซึ่ง จักขุวิญญาณ โดยประการอื่น;
ย่อมเห็นซึ่ง จักขุสัมผัส โดยประการอื่น;

88 พุ ท ธ ว จ น
ย่อมเห็นซึ่งเวทนาอันเป็นสุขก็ตาม เป็นทุกข์ก็ตาม
มิใช่ทุกข์มิใช่สุขก็ตาม ที่เกิดขึ้นเพราะจักขุสัมผัสเป็นปัจจัย
โดยประการอื่น.
(ในกรณีแห่งโสตะก็ดี ฆานะก็ดี ชิวหาก็ดี กายะก็ดี
มโนก็ดี และธรรมทั้งหลายที่สัมปยุตต์ด้วยโสตะ ฆานะ ชิวหา
กายะ และมโน นั้นๆ ก็ดี พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไว้ มีนัย
อย่างเดียวกันกับในกรณีแห่งการเห็นจักษุ และธรรมทั้งหลายที่
สัมปยุตต์ด้วยจักษุ).
ภิกษุ ! เมื่อภิกษุรู้อยู่อย่างนี้ เห็นอยู่อย่างนี้แล
อวิชชาจึงจะละไป วิชชาจึงจะเกิดขึ้น.
สฬา. สํ. ๑๘/๖๒-๖๓/๙๖.

ออฟไลน์ สายฝน

  • ตัวแทนจำหน่าย
  • ระดับ 4
  • **
  • กระทู้: 333
  • 440842cc (X-MEN)
Re: พุทธวจนสวัสดี
« ตอบกลับ #47 เมื่อ: วันที่ 24 พฤษภาคม 2013, 10:25:28 น. »
ฉบับ ๔ มรรค วิธีที่ ง่าย 89
๒๓
การเห็นซึ่งความไม่เที่ยง

     ภิกษุรูปหนึ่ง ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าดังนี้
ว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! ธรรมอย่างหนึ่ง มีอยู่หรือไม่หนอ
ซึ่งเมื่อภิกษุละได้แล้ว อวิชชาย่อมละไป วิชชาย่อมเกิดขึ้น
พระเจ้าข้า ?”
     ภิกษุ ! เมื่อภิกษุรู้อยู่เห็นอยู่ซึ่งจักษุ โดย ความ
เป็นของไม่เที่ยง, อวิชชาจึงจะละไป วิชชาจึงเกิดขึ้น;
เมื่อภิกษุ รู้อยู่เห็นอยู่ ซึ่งรูปทั้งหลาย ...ฯลฯ...;
เมื่อภิกษุ รู้อยู่เห็นอยู่ ซึ่งจักขุวิญญาณ ...ฯลฯ...;
เมื่อภิกษุ รู้อยู่เห็นอยู่ ซึ่งจักขุสัมผัส ...ฯลฯ...;
เมื่อภิกษุ รู้อยู่เห็นอยู่ ซึ่งเวทนา อันเป็นสุขก็ตาม
เป็นทุกข์ก็ตาม มิใช่ทุกข์มิใช่สุขก็ตาม ที่เกิดขึ้นเพราะ
จักขุสัมผัสเป็นปัจจัย โดยความเป็นของไม่เที่ยง, อวิชชา
จึงจะละไป วิชชาจึงจะเกิดขึ้น;

90 พุ ท ธ ว จ น
(ในกรณีแห่งโสตะ ฆานะ ชิวหา กายะ และมโน ทุกหมวด
มีข้อความอย่างเดียวกัน).
    ภิกษุ ! เมื่อภิกษุรู้อยู่อย่างนี้ เห็นอยู่อย่างนี้
อวิชชาจึงจะละไป วิชชาจึงจะเกิดขึ้น.
สฬา. สํ. ๑๘/๖๑-๖๒/๙๕.

ออฟไลน์ สายฝน

  • ตัวแทนจำหน่าย
  • ระดับ 4
  • **
  • กระทู้: 333
  • 440842cc (X-MEN)
Re: พุทธวจนสวัสดี
« ตอบกลับ #48 เมื่อ: วันที่ 24 พฤษภาคม 2013, 10:36:08 น. »
         92 พุ ท ธ ว จ น
๒๔
      ปฏิปทาเพื่อบรรลุมรรคผล
      ของคนเจ็บไข้
 
     ภิกษุทั้งหลาย ! ถ้า ธรรม ๕ ประการ ไม่เว้น
ห่างไปเสียจากคนเจ็บไข้ทุพพลภาพคนใด
ข้อนี้เป็นสิ่งที่เข้าผู้นั้นพึงหวังได้ คือ เขาจักกระทำ
ให้แจ้งได้ซึ่งเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ อันหาอาสวะมิได้
เพราะความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย ด้วยปัญญาอันยิ่งเอง
ในทิฏฐธรรมนี้ เข้าถึงแล้วแลอยู่ต่อกาลไม่นานเทียว.
ธรรม ๕ ประการนั้น เป็นอย่างไรเล่า ?
ภิกษุทั้งหลาย ! ในกรณีนี้ ภิกษุ : -
๑. เป็นผู้มีปกติตามเห็นความไม่งามในกาย อยู่
(อสุภานุปสฺสี กาเย วิหรติ)
๒. เป็นผู้มีความสำคัญว่าปฏิกูลในอาหาร อยู่
(อาหาเร ปฏิกฺกูลสญฺญี)

ฉบับ ๔ มรรค วิธีที่ ง่าย 93
๓. เป็นผู้มีความสำคัญว่าไม่น่ายินดีในโลกทั้งปวง อยู่
(สพฺพโลเก อนภิรตสญฺญี)
๔. เป็นผู้มีปกติตามเห็นว่าไม่เที่ยงในสังขารทั้งปวง อยู่
(สพฺพสงฺขาเรสุ อนิจฺจานุปสฺสี)
๕. มีมรณสัญญาอันเขาตั้งไว้ดีแล้วในภายใน อยู่.
(มรณสญฺญา โข ปนสฺส อชฺฌตฺตํ สุปฏฺฐิตา โหติ)
ภิกษุทั้งหลาย ! ธรรม ๕ ประการเหล่านี้
ไม่เว้นห่างไปเสียจากคนเจ็บไข้ทุพพลภาพคนใด ข้อนี้
เป็นสิ่งที่เขาผู้นั้นพึงหวังได้ คือเขาจักกระทำให้แจ้งได้
ซึ่งเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ อันหาอาสวะมิได้ เพราะ
ความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย ด้วยปัญญาอันยิ่งเอง
ในทิฐธรรมนี้ เข้าถึงแล้วแลอยู่ ต่อกาลไม่นานเทียว.
ปญฺจก. อํ. ๒๒/๑๖๐-๑๖๑/๑๒๑.

ออฟไลน์ สายฝน

  • ตัวแทนจำหน่าย
  • ระดับ 4
  • **
  • กระทู้: 333
  • 440842cc (X-MEN)
Re: พุทธวจนสวัสดี
« ตอบกลับ #49 เมื่อ: วันที่ 24 พฤษภาคม 2013, 10:38:11 น. »
94 พุ ท ธ ว จ น
๒๕
ปฏิปทาเพื่อบรรลุมรรคผล
ของบุคคลทั่วไป
(นัยที่ ๑)

    ภิกษุทั้งหลาย ! บุคคลใดบุคคลหนึ่ง จะเป็นภิกษุ
หรือภิกษุณีก็ตาม เจริญกระทำ�ให้มาก ซึ่งธรรม ๕ ประการ;
ผู้นั้น พึงหวังผลอย่างใดอย่างหนึ่งได้ ในบรรดา
ผลทั้งหลาย สองอย่าง กล่าวคือ อรหัตตผลในทิฐธรรม
(ภพปัจจุบัน) นั่นเทียว, หรือว่า อนาคามิผล เมื่อยังมีอุปาทิ
(เชื้อ) เหลืออยู่.
    ภิกษุทั้งหลาย ! ธรรม ๕ ประการนั้น เป็น
อย่างไรเล่า ?
๕ ประการ คือ ภิกษุ ในกรณีนี้ : -
๑. มีสติอันตนเข้าไปตั้งไว้ดีแล้วในภายในนั่นเทียว
เพื่อเกิดปัญญารู้ความเกิดขึ้นและดับไปแห่งธรรมทั้งหลาย
(อชฺฌตฺตญฺเญว สติ สุปฏฺฐิตา โหติ ธมฺมานํ อุทยตฺถคามินิยา
ปญฺญาย);

ฉบับ ๔ มรรค วิธีที่ ง่าย 95
๒. มีปกติตามเห็นความไม่งามในกาย
(อสุภานุปสฺสี กาเย วิหรติ)
๓. มีความสำคัญว่าปฏิกูลในอาหาร
(อาหาเร ปฏิกฺกูลสญฺญี)
๔. มีความสำคัญว่าในโลกทั้งปวงไม่มีอะไรที่น่ายินดี
(สพฺพโลเก อนภิรตสญฺญี)
๕. มีปกติตามเห็นความไม่เที่ยงในสังขารทั้งปวง
(สพฺพสงฺขาเรสุ อนิจฺจานุปสฺสี)
    ภิกษุทั้งหลาย ! บุคคลใดบุคคลหนึ่ง จะเป็นภิกษุ
หรือภิกษุณีก็ตาม เจริญกระทำให้มาก ซึ่งธรรม ๕ ประการ
เหล่านี้; ผู้นั้น พึงหวังผลอย่างใดอย่างหนึ่งได้ในบรรดา
ผลทั้งหลายสองอย่าง กล่าวคือ อรหัตตผลในทิฏฐธรรม
(ภพปัจจุบัน) นั่นเทียว, หรือว่า อนาคามิผล เมื่อยังมี
อุปาทิเหลืออยู่ แล.
ปญฺจก. อํ. ๒๒/๑๖๑/๑๒๒.