ผู้เขียน หัวข้อ: ใคร่ขอความอนุเคราะห์ช่วย โยเส้นวิธีการต่อ Gate เข้า Mixer ให้ด้วยครับ  (อ่าน 10564 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ nuttakit_p

  • ลงทะเบียน HL
  • ระดับ 4
  • *
  • กระทู้: 349
  • HL#8F634E13
ผมใช้ Mixer และ Gate รุ่นนี้อยู่ จึงใคร่ขอความอนุเคราะห์ช่วย โยงเส้นวิธีการต่อ Gate เข้า Mixer ให้ด้วยครับ และวิธีการปรับที่ Mixerกับ Gate ให้ด้วยครับ การใช้งาน ผมเอาไว้ใช้งาน กับไมค์ออกงาน Event ใช้ไมค์อยู่ 4 ตัวครับ

ขอขอบคุณเป็นอย่างสูงนะครับ
ณัฐกิตติ์





« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 29 เมษายน 2014, 21:28:06 น. โดย nuttakit_p »

ออฟไลน์ เด็กชายเคยโสด

  • คณะบริหาร
  • ขี้โม้ระดับสุดยอด
  • ****
  • กระทู้: 20083
  • 6E65CE52,7309F48F,48B54692,6E674E74,1E001EF5
gate  ให้เปิด  com  ให้กด  ปกติแล้วจะอยู่ในตัวเดียวกัน

ค้นหาคัดลอกจากตำราที่คนอื่นว่าไว้มาให้ลองทำดูครับ



COMPRESSOR/LIMITER
(คัดลอกตำรามาให้อ่าน)
เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการควบคุมระดับความดังของเสียง ไม่ให้สัญญาณเสียงที่ออกไปมีความแรงมากเกินไป รวมทั้งทำหน้าที่อื่นๆด้วย ซึ่งหน้าที่การทำงานภายในเครื่องจะประกอบด้วยหน้าที่การทำงานหลัก 3 ส่วน ดังนี้



1. EXPANDER/GATE

ทำหน้าที่ขยายและเปิดประตู[GATE] ให้สัญญาณเข้ามาในเครื่องตามความต้องการของผู้ใช้ ว่าจะให้สัญญาณที่มีระดับความแรงมากน้อยเท่าไรที่จะให้เครื่องเริ่มทำงาน โดยมีปุ่มปรับต่างๆในส่วนนี้คือ



1.1 ปุ่ม THRESHOLD เป็นปุ่มปรับเพื่อให้เครื่องเริ่มทำงานและหยุดทำงาน หน่วยที่ปรับมีค่าเป็น dB เช่นเราปรับตั้งค่าไว้ที่ -45 dB หมายความว่า สัญญาณเสียงที่มีระดับสัญญาณต่ำกว่า -45dB เครื่องจะไม่ทำงาน ซึ่งจะทำให้ไม่มีสัญญาณใดๆผ่านเครื่องออกไปได้ และเครื่องจะเริ่มทำงานเมื่อระดับสัญญาณมีค่าสูงกว่า -45 dB ค่าที่เราตั้งเพื่อให้เครื่องเริ่มทำงานนี้เรียกว่า "ค่าเทรชโฮลด์"

อย่างไรก็ตามถ้าเราปรับไว้ที่ตำแหน่งต่ำสุดหรือ OFF หมายความว่า สัญญาณที่มีระดับสุดแค่ไหนก็ตามก็สามารถผ่านเข้าไปในเครื่องได้ นั่นคือสัญญาณจะผ่านเข้าไปได้ทั้งหมดตลอดเวลานั่นเอง



การจะตั้งค่าเทรชโฮลด์เป็นเท่าไรนั้น ขึ้นอยู่กับว่าเราใช้เครื่องนี้ควบคุมเสียงอะไร เช่น ถ้าต้องการควบคุมเสียงสำหรับไมค์นักร้อง หรือควบคุมเสียงทั้งระบบ ให้ตั้งค่านี้ที่จุดต่ำกว่า -45 dB เพราะต้องให้ระดับเสียงเบาๆออกไปได้ แต่ถ้าควบคุมเสียงของไมค์กลองกระเดื่อง กลองสแนร์ หรือไฮแฮต ก็ให้ตั้งค่าที่สูงกว่า -45 dB ซึ่งมีค่าไม่เท่ากันขึ้นอยู่กับความดังของกลองหรือเครื่องดนตรีชิ้นนั้นๆ



1.2 ปุ่ม RELEASE เป็นปุ่มสำหรับหน่วงเวลา คือหลังจากที่ประตู[GATE] เปิดให้สัญญาณเข้ามาในเครื่องแล้ว ถ้าไม่มีสัญญาณใดๆเข้ามาอีกหรือสัญญาณมีค่าต่ำกว่าค่าเทรชโฮลด์ที่ตั้งไว้ เกทก็จะปิด ส่วนอื่นๆของเครื่องก็ไม่ทำงาน ระยะเวลาที่ใช้ในการปิดเกทอีกครั้งหลังจากไม่มีสัญญาณเข้ามาแล้วนั้นเราเรียกระยะเวลานี้ว่า "Release Time" ปุ่มที่ทำหน้าที่ปรับระยะเวลานี้คือปุ่ม RELEASE ค่าที่บอกไว้ที่เครื่องคือ Fast หมายความว่าเกทจะปิดอย่างรวดเร็วหลังจากหมดสัญญาณ และ Slow หมายความว่า เกทจะหน่วงเวลาไว้ระยะหนึ่งจึงค่อยปิด ระยะเวลาเร็วหรือช้าแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับเราที่จะปรับตั้งค่าไว้



ค่า Release Time ของเกทนี้จะตั้งเป็นเท่าไรก็ขึ้นอยู่กับเสียงที่เราใช้งาน เช่นไมค์สำหรับเสียงพูดหรือเสียงนักร้อง ให้ปรับไว้ที่ประมาณบ่ายสองโมง [Slow] เพราะเสียงคนเราจะมีปลายหางเสียงเช่น เสียงตัว สิ. ,สี่.. ,ซิ... ,ซี...เอส....เฮช....ทู...ฯลฯ.. เป็นต้น ปลายหางเสียงเหล่านี้จะได้ไม่ขาดหายไป

ส่วนการปรับเสียงจากเครื่องดนตรีเช่นเสียงกลองกระเดื่อง ถ้าเราไม่ต้องการเสียงกระพือหลังจากที่เราที่เหยียบลงไปที่หน้ากลองลูกแรก ก็ให้เวลาในการปิดเกทเร็วขึ้น[Fast] หรือเสียงไฮแฮตถ้าเราไม่ต้องการให้มีปลายหางเสียงมากเกินไป ให้เสียงซิบๆๆ..ซี่ๆๆ..ซิบๆๆ...ดีขึ้นก็ให้ปิดเกทให้เร็วขึ้นเพื่อปลายหางเสียงที่เบาๆจะได้ถูกตัดออกไป

**อย่างไรก็ตามปุ่มRELEASE ในส่วนของภาคEXPANDER/GATE นี้ ในเครื่องบางรุ่นอาจจะไม่มี และบางรุ่นทำเป็นสวิทช์กดให้เลือก**



1.3 ปุ่ม RATIO เป็นปุ่มทำหน้าที่ปรับลดระดับเสียงลงเป็นอัตราส่วนของ dB เมื่อเทียบค่ากับ 1 เช่น 1:1หมายความว่าสัญญาณจะไม่ถูกลดระดับเลย , 2:1หมายความว่าสัญญาณที่เพิ่มสูงขึ้นเป็นเท่าไหร่ก็ตามจะถูกทำให้ลดลงสองเท่า

**อย่างไรก็ตามปุ่ม RATIO นี้ในส่วนของภาคEXPANDER/GATE ในเครื่องบางรุ่นอาจจะไม่มี**



2. COMPRESSOR

ทำหน้าที่กดระดับสัญญาณให้ลดลงในอัตราส่วนตามค่าที่เราได้ปรับตั้งไว้ หน้าที่การทำงานของปุ่มปรับต่างๆในส่วนของภาคคอมเพรสเซอร์นี้มีดังนี้



2.1 ปุ่ม THRESHOLD เป็นปุ่มสำหรับตั้งค่าจุดเริ่มการกดสัญญาณ(จุดเทรชโฮลด์) เช่นเราตั้งค่าไว้ที่ 0 dB สัญญาณจะเริ่มลดลงที่ 0 dB และถ้าปรับตั้งไว้ที่ -10 dB ก็หมายความว่าสัญญาณเสียงจะเริ่มลดลงที่จุด -10 dB (ค่าติดลบมากเสียงจะลดลงมาก)

การลดลงของสัญญาณเสียงที่จุดเทรชโฮลด์นี้ ถ้าเป็นการลดลงอย่างรวดเร็วทันทีทันใด เราเรียกว่า ฮาร์ดนี[Hard-Knee] และถ้าให้เสียงที่ถูกกด[Compress] ค่อยๆลดลงเพื่อให้เสียงฟังดูนุ่มขึ้นเราเรียกว่า ซอฟต์นี[Soft-Knee] ซึ่งมีปุ่มให้กดเลือกใช้งานได้ แต่ปุ่มนี้จะมีชื่อเรียกทางการค้าที่แตกต่างกันไป เช่น

ยี่ห้อ dbx เรียกปุ่มนี้ว่า Over Easy

ยี่ห้อ Behringer เรียกปุ่มนี้ว่า Interactive Knee



การตั้งค่า THRESHOLD

เสียงดนตรี เสียงพูด และเสียงร้องเพลงทั่วๆไป จะตั้งค่าไว้ที่ 0 dB

เสียงร้องเพลงประเภท เฮฟวี่ ร็อค ฮิปพอฟ หรือเพลงวัยรุ่นประเภท แหกปากตะโกนร้อง ก็ตั้งไว้ที่ -10 dB ถึง -20 dB ให้ปรับหมุนฟังดูค่าที่เหมาะสมไม่ดังหรือค่อยจนเกินไป



2.2 RATIO เป็นปุ่มสำหรับทำหน้าที่ปรับลดระดับเสียงลงมีค่าเป็นอัตราส่วนจำนวนเท่าต่อ 1 ซึ่งจะทำงานสัมพันธ์กับค่าเทรชโฮลด์ที่ตั้งไว้คือ



[1] เมื่อตั้งค่าอัตราส่วนไว้ที่ 1:1 สัญญาณด้านออกจะไม่ถูกกดลงเลย

[2] เมื่อตั้งค่าอัตราส่วนไว้ที่ 2:1 สัญญาณออกจะถูกกดให้ลดลง 2เท่า เมื่อสัญญาณเข้าเพิ่มขึ้น 1dB เช่นสัญญาณเข้า +20dB สัญญาณออกจะถูกกดให้ลดลงเหลือ +10dB

[3] เมื่อตั้งค่าอัตราส่วนไว้ที่ 4:1 สัญญาณออกจะถูกกดให้ลดลง 4เท่า เมื่อสัญญาณเข้าเพิ่มขึ้น 1dB เช่นสัญญาณเข้า +20dB สัญญาณออกจะถูกกดให้ลดลงเหลือ +5dB

[4] Infinite (หมุนตามเข็มนาฬิกาสุด) สัญญาณด้านออกจะถูกกดให้ลดลงเท่ากับค่าเทรชโฮลด์ที่ตั้งไว้



การตั้งค่า RATIO

เสียงพูด เสียงร้องเพลงทุกแบบ เสียงเครื่องดนตรีทั่วไป ปรับตั้งไว้ที่ 2:1 ถ้าตั้งให้ลดมากไปจะทำให้เหมือนเสียงเกิดอาการวูบวาบกระโดดไม่คงที่



2.3 ATTACT เป็นปุ่มสำหรับปรับตั้งค่าหน่วงเวลาของการเริ่มต้นกดสัญญาณ[compress] จะช่วยทำให้เสียงมีความหนักแน่นดีขึ้น มีหน่วยเวลาเป็น มิลลิวินาที[mSEC] เสียงพูด เสียงเพลงดนตรีทั่วไป ให้ตั้งค่าไว้ที่ประมาณ 40-50 mSEC เพลงคลาสสิค หรือเพลงที่มีความฉับไวของดนตรี ให้ตั้งไว้ที่ประมาณ 25-30 mSEC



2.4 RELEASE เป็นปุ่มสำหรับปรับตั้งค่าหน่วงเวลาช่วงหยุดการกดสัญญาณ จะทำให้น้ำเสียงนุ่มน่าฟังขึ้น มีหน่วยเวลาเป็นวินาที [SEC] เสียงพูด เสียงดนตรีทั่วไปให้ตั้งไว้ที่ 1.5-2 SEC



2.5 OUTPUT GAIN เป็นปุ่มปรับลดหรือเพิ่มระดับความแรงของสัญญาณด้านขาออกของเครื่องให้มีค่าลดลงหรือเพิ่มขึ้นได้ โดยมีค่าปรับได้ตั้งแต่ -20dB ถึง +20dB ในการใช้งานปกติให้ปรับค่าไว้ที่ 0 dB



3. LIMITER

ลิมิตเตอร์ทำหน้าที่รักษาระดับสัญญาณด้านขาออกของเครื่องให้มีความแรงสูงสุดได้ไม่เกินค่าที่ตั้งไว้ เช่นตั้งไว้ที่ 0dB สัญญาณขาออกก็จะออกได้สูงสุดไม่เกิน 0dB หรือตั้งไว้ที่ +5dB สัญญาณขาออกก็จะออกได้สูงสุดไม่เกิน +5dB เป็นต้น



การตั้งค่าLIMITER

เสียงพูด เสียงร้องเพลงทุกประเภท ให้ตั้งค่าไว้ที่ 0dB

เสียงดนตรี กลองกระเดื่อง กีต้าร์เบส ให้ตั้งค่าไว้ที่ +5dB ถึง +10dB

เสียงเครื่องดนตรีอื่นๆ ตั้งค่าไว้ที่ 0dB





การต่อใช้งานเครื่อง COMPRESSOR

การต่อใช้งานเครื่องคอมเพรสเซอร์สามารถต่อใช้งาน ตามลักษณะประเภทของงานและตามความต้องการของผู้ใช้ได้ 4 แบบ ดังนี้



1. การต่อแบบ Channel Insert

การต่อแบบนี้เป็นการต่อใช้งานที่ดีที่สุด เพราะจะทำให้เราสามารถปรับแต่งเสียงของคอมเพรสเซอร์ แต่ละแชลแนลได้อย่างอิสระ ทั้งเสียงจากไมโครโฟนสำหรับนักร้อง และเสียงจากเครื่องดนตรีแต่ละชิ้นที่แยกจากกัน



2. การต่อแบบ Group Insert

การต่อแบบนี้จะใช้คอมเพรสเซอร์ จำนวน 2 เครื่อง [4Ch] ในกรณีที่มิกเซอร์มี 4 กรุ๊ป คือ Group 1-2-3-4 ก็ให้เราจัดกรุ๊ป 1-2 เป็น ไมค์เสียงร้องทั้งหมด และกรุ๊ป 3-4 เป็นเสียงดนตรีทั้งหมด



3. การต่อแบบ Mix Insert

การต่อแบบนี้ใช้คอมเพรสเซอร์ 1เครื่อง [2Ch] ต่อที่ตำแหน่ง Mix Insert ของเครื่องมิกเซอร์ เป็นการต่อใช้งานเพื่อควบคุมเสียงทั้งหมดที่ถูกต่อเข้าที่มิกซ์ การปรับแต่งเสียงก็จะปรับโดยรวมๆกลางๆ



4. การต่อแบบ MIXER to COMPRESSOR

การต่อแบบนี้เป็นการต่อแบบที่ง่าย สะดวก และประหยัดที่สุด เพราะเป็นการต่อที่นำเอาสัญญาณเอาท์พุทจากมิกเซอร์มาเข้าอินพุทของเครื่องคอมเพรสเซอร์ และออกจากคอมเพรสเซอร์ไปเข้าเครื่องอีควอไลเซอร์

การปรับแต่งเสียงก็เป็นการปรับแบบรวมๆกลางๆ เพราะทุกเสียงผ่านคอมเพรสเซอร์ทั้งหมด




ตำราอีกเล่ม


COMPRESSOR/LIMITER

เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการควบคุมระดับความดังของเสียง ไม่ให้สัญญาณเสียงที่ออกไปมีความแรงมากเกินไป รวมทั้งทำหน้าที่อื่นๆด้วย ซึ่งหน้าที่การทำงานภายในเครื่องจะประกอบด้วยหน้าที่การทำงานหลัก 3 ส่วน ดังนี้

1. EXPANDER/GATE

ทำหน้าที่ขยายและเปิดประตู (GATE) ให้สัญญาณเข้ามาในเครื่องตามความต้องการของผู้ใช้ ว่าจะให้สัญญาณที่มีระดับความแรงมากน้อยเท่าไรที่จะให้เครื่องเริ่มทำงาน โดยมีปุ่มปรับต่างๆในส่วนนี้คือ

1.1 ปุ่ม THRESHOLD เป็นปุ่มปรับเพื่อให้เครื่องเริ่มทำงานและหยุดทำงาน หน่วยที่ปรับมีค่าเป็น dB เช่นเราปรับตั้งค่าไว้ที่ -45 dB หมายความว่า สัญญาณเสียงที่มีระดับสัญญาณต่ำกว่า -45dB เครื่องจะไม่ทำงาน ซึ่งจะทำให้ไม่มีสัญญาณใดๆผ่านเครื่องออกไปได้ และเครื่องจะเริ่มทำงานเมื่อระดับสัญญาณมีค่าสูงกว่า -45 dB ค่าที่เราตั้งเพื่อให้เครื่องเริ่มทำงานนี้เรียกว่า "ค่าเทรชโฮลด์"

อย่างไรก็ตามถ้าเราปรับไว้ที่ตำแหน่งต่ำสุดหรือ OFF หมายความว่า สัญญาณที่มีระดับสุดแค่ไหนก็ตามก็สามารถผ่านเข้าไปในเครื่องได้ นั่นคือสัญญาณจะผ่านเข้าไปได้ทั้งหมดตลอดเวลานั่นเอง

การจะตั้งค่าเทรชโฮลด์เป็นเท่าไรนั้น ขึ้นอยู่กับว่าเราใช้เครื่องนี้ควบคุมเสียงอะไร เช่น ถ้าต้องการควบคุมเสียงสำหรับไมค์นักร้อง หรือควบคุมเสียงทั้งระบบ ให้ตั้งค่านี้ที่จุดต่ำกว่า -45 dB เพราะต้องให้ระดับเสียงเบาๆออกไปได้ แต่ถ้าควบคุมเสียงของไมค์กลองกระเดื่อง กลองสแนร์ หรือไฮแฮต ก็ให้ตั้งค่าที่สูงกว่า -45 dB ซึ่งมีค่าไม่เท่ากันขึ้นอยู่กับความดังของกลองหรือเครื่องดนตรีชิ้นนั้นๆ

1.2 ปุ่ม RELEASE เป็นปุ่มสำหรับหน่วงเวลา คือหลังจากที่ประตู GATE เปิดให้สัญญาณเข้ามาในเครื่องแล้ว ถ้าไม่มีสัญญาณใดๆเข้ามาอีกหรือสัญญาณมีค่าต่ำกว่าค่าเทรชโฮลด์ที่ตั้งไว้ เกทก็จะปิด ส่วนอื่นๆของเครื่องก็ไม่ทำงาน ระยะเวลาที่ใช้ในการปิดเกทอีกครั้งหลังจากไม่มีสัญญาณเข้ามาแล้วนั้นเราเรียกระยะเวลานี้ว่า "Release Time" ปุ่มที่ทำหน้าที่ปรับระยะเวลานี้คือปุ่ม RELEASE ค่าที่บอกไว้ที่เครื่องคือ Fast หมายความว่าเกทจะปิดอย่างรวดเร็วหลังจากหมดสัญญาณ และ Slow หมายความว่า เกทจะหน่วงเวลาไว้ระยะหนึ่งจึงค่อยปิด ระยะเวลาเร็วหรือช้าแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับเราที่จะปรับตั้งค่าไว้

ค่า Release Time ของเกทนี้จะตั้งเป็นเท่าไรก็ขึ้นอยู่กับเสียงที่เราใช้งาน เช่นไมค์สำหรับเสียงพูดหรือเสียงนักร้อง ให้ปรับไว้ที่ประมาณบ่ายสองโมง [Slow] เพราะเสียงคนเราจะมีปลายหางเสียงเช่น เสียงตัว สิ. ,สี่.. ,ซิ... ,ซี...เอส....เฮช....ทู...ฯลฯ.. เป็นต้น ปลายหางเสียงเหล่านี้จะได้ไม่ขาดหายไป

ส่วนการปรับเสียงจากเครื่องดนตรีเช่นเสียงกลองกระเดื่อง ถ้าเราไม่ต้องการเสียงกระพือหลังจากที่เราที่เหยียบลงไปที่หน้ากลองลูกแรก ก็ให้เวลาในการปิดเกทเร็วขึ้น Fast  หรือเสียงไฮแฮตถ้าเราไม่ต้องการให้มีปลายหางเสียงมากเกินไป ให้เสียงซิบๆๆ..ซี่ๆๆ..ซิบๆๆ...ดีขึ้นก็ให้ปิดเกทให้เร็วขึ้นเพื่อปลายหางเสียงที่เบาๆจะได้ถูกตัดออกไป

**อย่างไรก็ตามปุ่มRELEASE ในส่วนของภาคEXPANDER/GATE นี้ ในเครื่องบางรุ่นอาจจะไม่มี และบางรุ่นทำเป็นสวิทช์กดให้เลือก**

1.3 ปุ่ม RATIO เป็นปุ่มทำหน้าที่ปรับลดระดับเสียงลงเป็นอัตราส่วนของ dB เมื่อเทียบค่ากับ 1 เช่น 1:1หมายความว่าสัญญาณจะไม่ถูกลดระดับเลย , 2:1หมายความว่าสัญญาณที่เพิ่มสูงขึ้นเป็นเท่าไหร่ก็ตามจะถูกทำให้ลดลงสองเท่า

**อย่างไรก็ตามปุ่ม RATIO นี้ในส่วนของภาคEXPANDER/GATE ในเครื่องบางรุ่นอาจจะไม่มี**

2. COMPRESSOR

ทำหน้าที่กดระดับสัญญาณให้ลดลงในอัตราส่วนตามค่าที่เราได้ปรับตั้งไว้ หน้าที่การทำงานของปุ่มปรับต่างๆในส่วนของภาคคอมเพรสเซอร์นี้มีดังนี้

2.1 ปุ่ม THRESHOLD เป็นปุ่มสำหรับตั้งค่าจุดเริ่มการกดสัญญาณ(จุดเทรชโฮลด์) เช่นเราตั้งค่าไว้ที่ 0 dB สัญญาณจะเริ่มลดลงที่ 0 dB และถ้าปรับตั้งไว้ที่ -10 dB ก็หมายความว่าสัญญาณเสียงจะเริ่มลดลงที่จุด -10 dB (ค่าติดลบมากเสียงจะลดลงมาก)

การลดลงของสัญญาณเสียงที่จุดเทรชโฮลด์นี้ ถ้าเป็นการลดลงอย่างรวดเร็วทันทีทันใด เราเรียกว่า ฮาร์ดนี (Hard-Knee) และถ้าให้เสียงที่ถูกกด(Compress) ค่อยๆลดลงเพื่อให้เสียงฟังดูนุ่มขึ้นเราเรียกว่า ซอฟต์นี(Soft-Knee) ซึ่งมีปุ่มให้กดเลือกใช้งานได้ แต่ปุ่มนี้จะมีชื่อเรียกทางการค้าที่แตกต่างกันไป เช่น

ยี่ห้อ dbx เรียกปุ่มนี้ว่า Over Easy

ยี่ห้อ Behringer เรียกปุ่มนี้ว่า Interactive Knee

การตั้งค่า THRESHOLD

เสียงดนตรี เสียงพูด และเสียงร้องเพลงทั่วๆไป จะตั้งค่าไว้ที่ 0 dB

เสียงร้องเพลงประเภท เฮฟวี่ ร็อค ฮิปพอฟ หรือเพลงวัยรุ่นประเภท แหกปากตะโกนร้อง ก็ตั้งไว้ที่ -10 dB ถึง -20 dB ให้ปรับหมุนฟังดูค่าที่เหมาะสมไม่ดังหรือค่อยจนเกินไป

2.2 RATIO เป็นปุ่มสำหรับทำหน้าที่ปรับลดระดับเสียงลงมีค่าเป็นอัตราส่วนจำนวนเท่าต่อ 1 ซึ่งจะทำงานสัมพันธ์กับค่าเทรชโฮลด์ที่ตั้งไว้คือ

(1) เมื่อตั้งค่าอัตราส่วนไว้ที่ 1:1 สัญญาณด้านออกจะไม่ถูกกดลงเลย

(2) เมื่อตั้งค่าอัตราส่วนไว้ที่ 2:1 สัญญาณออกจะถูกกดให้ลดลง 2เท่า เมื่อสัญญาณเข้าเพิ่มขึ้น 1dB เช่นสัญญาณเข้า +20dB สัญญาณออกจะถูกกดให้ลดลงเหลือ +10dB

(3) เมื่อตั้งค่าอัตราส่วนไว้ที่ 4:1 สัญญาณออกจะถูกกดให้ลดลง 4เท่า เมื่อสัญญาณเข้าเพิ่มขึ้น 1dB เช่นสัญญาณเข้า +20dB สัญญาณออกจะถูกกดให้ลดลงเหลือ +5dB

(4) Infinite (หมุนตามเข็มนาฬิกาสุด) สัญญาณด้านออกจะถูกกดให้ลดลงเท่ากับค่าเทรชโฮลด์ที่ตั้งไว้

การตั้งค่า RATIO

เสียงพูด เสียงร้องเพลงทุกแบบ เสียงเครื่องดนตรีทั่วไป ปรับตั้งไว้ที่ 2:1 ถ้าตั้งให้ลดมากไปจะทำให้เหมือนเสียงเกิดอาการวูบวาบกระโดดไม่คงที่

2.3 ATTACT เป็นปุ่มสำหรับปรับตั้งค่าหน่วงเวลาของการเริ่มต้นกดสัญญาณ(compress) จะช่วยทำให้เสียงมีความหนักแน่นดีขึ้น มีหน่วยเวลาเป็น มิลลิวินาที(mSEC) เสียงพูด เสียงเพลงดนตรีทั่วไป ให้ตั้งค่าไว้ที่ประมาณ 40-50 mSEC เพลงคลาสสิค หรือเพลงที่มีความฉับไวของดนตรี ให้ตั้งไว้ที่ประมาณ 25-30 mSEC

2.4 RELEASE เป็นปุ่มสำหรับปรับตั้งค่าหน่วงเวลาช่วงหยุดการกดสัญญาณ จะทำให้น้ำเสียงนุ่มน่าฟังขึ้น มีหน่วยเวลาเป็นวินาที (SEC) เสียงพูด เสียงดนตรีทั่วไปให้ตั้งไว้ที่ 1.5-2 SEC

2.5 OUTPUT GAIN เป็นปุ่มปรับลดหรือเพิ่มระดับความแรงของสัญญาณด้านขาออกของเครื่องให้มีค่าลดลงหรือเพิ่มขึ้นได้ โดยมีค่าปรับได้ตั้งแต่ -20dB ถึง +20dB ในการใช้งานปกติให้ปรับค่าไว้ที่ 0 dB

3. LIMITER

ลิมิตเตอร์ทำหน้าที่รักษาระดับสัญญาณด้านขาออกของเครื่องให้มีความแรงสูงสุดได้ไม่เกินค่าที่ตั้งไว้ เช่นตั้งไว้ที่ 0dB สัญญาณขาออกก็จะออกได้สูงสุดไม่เกิน 0dB หรือตั้งไว้ที่ +5dB สัญญาณขาออกก็จะออกได้สูงสุดไม่เกิน +5dB เป็นต้น

การตั้งค่าLIMITER

เสียงพูด เสียงร้องเพลงทุกประเภท ให้ตั้งค่าไว้ที่ 0dB

เสียงดนตรี กลองกระเดื่อง กีต้าร์เบส ให้ตั้งค่าไว้ที่ +5dB ถึง +10dB

เสียงเครื่องดนตรีอื่นๆ ตั้งค่าไว้ที่ 0dB

การต่อใช้งานเครื่อง COMPRESSOR

การต่อใช้งานเครื่องคอมเพรสเซอร์สามารถต่อใช้งาน ตามลักษณะประเภทของงานและตามความต้องการของผู้ใช้ได้ 4 แบบ ดังนี้

1. การต่อแบบ Channel Insert

การต่อแบบนี้เป็นการต่อใช้งานที่ดีที่สุด เพราะจะทำให้เราสามารถปรับแต่งเสียงของคอมเพรสเซอร์ แต่ละแชลแนลได้อย่างอิสระ ทั้งเสียงจากไมโครโฟนสำหรับนักร้อง และเสียงจากเครื่องดนตรีแต่ละชิ้นที่แยกจากกัน

2. การต่อแบบ Group Insert

การต่อแบบนี้จะใช้คอมเพรสเซอร์ จำนวน 2 เครื่อง [4Ch] ในกรณีที่มิกเซอร์มี 4 กรุ๊ป คือ Group 1-2-3-4 ก็ให้เราจัดกรุ๊ป 1-2 เป็น ไมค์เสียงร้องทั้งหมด และกรุ๊ป 3-4 เป็นเสียงดนตรีทั้งหมด

3. การต่อแบบ Mix Insert

การต่อแบบนี้ใช้คอมเพรสเซอร์ 1เครื่อง (2Ch) ต่อที่ตำแหน่ง Mix Insert ของเครื่องมิกเซอร์ เป็นการต่อใช้งานเพื่อควบคุมเสียงทั้งหมดที่ถูกต่อเข้าที่มิกซ์ การปรับแต่งเสียงก็จะปรับโดยรวมๆกลางๆ

4. การต่อแบบ MIXER to COMPRESSOR

การต่อแบบนี้เป็นการต่อแบบที่ง่าย สะดวก และประหยัดที่สุด เพราะเป็นการต่อที่นำเอาสัญญาณเอาท์พุทจากมิกเซอร์มาเข้าอินพุทของเครื่องคอมเพรสเซอร์ และออกจากคอมเพรสเซอร์ไปเข้าเครื่องอีควอไลเซอร์

การปรับแต่งเสียงก็เป็นการปรับแบบรวมๆกลางๆ เพราะทุกเสียงผ่านคอมเพรสเซอร์ทั้งหมด

compressor
...........พูดเปรียบเทียบกันง่าย ๆ compressor เป็นอุปกรณ์ที่ทำก๋วยจั๊บน้ำใส.....ให้เป็นก๋วยจั๊บน้ำข้น......(ฮาครับ....มีคนเปรียบเทียบอย่างนี้จริง ๆ )
.......จำเป็นต้องมีไหม...หลายคนสอบถาม.....จำเป็นครับ....ไม่งั้นเขาคงไม่ทำขายหรอก...(โอ...ช่างเป็นคำตอบที่มักง่าย..จริง ๆ )
........แต่ถ้ามีแล้ว...ใช้ไม่ถูก..ก็อย่ามีดีกว่าครับ.....บทความนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้ความรู้เรื่อง compressor เบื้องต้น...แก่ผู้ที่ยังไม่รู้บางแง่...บางมุมของ compressor
....ส่วนท่านที่รู้แจ้งเห็นจริงแล้ว...ก็ผ่าน....หรือจะแบ่งปันในส่วนลึก ๆ ของcompressor บ้างก็ได้ครับ
........ในส่วนแรก..ที่ปุ่มปรับที่เขียนว่า ratio (ในวงเหลืองรูปล่าง) หมายถึงการกำหนดอัตราส่วนในการ compress (บีบอัดสัญญาณเสียง)
.....ส่วนรูปบน.....เป็นการแสดงภาพการบีบอัด...รูปซ้ายมือสุด...เป็นการบีบอัดในอัตราส่วน 1.5 ต่อ 1 ...สังเกตสัญญาณที่เกินกว่าเกณฑ์(เส้นสีดำ)...จะถูกกดลงมานิดหนึ่ง(ในวงสีแดง)
.....ในรูปกลาง...เป็นการบีบอัดในอัตราส่วน 3 ต่อ 1 ...สังเกตสัญญาณที่เกินกว่าเกณฑ์(เส้นสีดำ)...จะถูกกดลงมา..มากหน่อย(ในวงสีชมพู)
.....ในรูปขวามือ...เป็นการบีบอัดในอัตราส่วน ต่อ 1(infinity) ...สังเกตสัญญาณที่เกินกว่าเกณฑ์(เส้นสีดำ)...จะถูกกดลงมา..มากที่สุด(ในวงสีน้ำเงิน)
……..นี่เป็นเบื้องต้น....ที่นำเสนอท่าน.....ในการใช้ compressor ของท่านให้เกิดประโยชน์สูงสุดครับ
......เวลาหมดครับ.....พบกับคราวหน้า.....ขอให้มีงานท่วมเดือนทุกวงครับ...สาธุ

…..threshold (วงสีชมพู)เป็นการปรับค่าอ้างอิงเพื่อให้เครื่องทำงานตามค่าอ้างอิงตัวนี้
.....จากรูปครับ....ปุ่มปรับ threshold ถ้าเราปรับค่านี่ให้สูง(ค่อนมาทาง+10...ถึง+20)จะเป็นการกำหนดให้เครื่อง ตั้งค่าเกณฑ์(เหมือนตั้งกำแพง)ไว้สูง...สังเกตเส้นที่ลูกศรสีเขียวชี้ครับ.....เส้นนี้จะเป็นค่าที่ไว้เปรียบเทียบกับสัญญาณเสียง(สัญญาณไฟฟ้า)ที่เข้ามาว่าเกินเกณฑ์นี้ไหม......ถ้าเกินเส้นนี้ กระบวนการ compressor จะทำงานครับ......จะกด...จะดันมากน้อยแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับค่า ratio ที่เราตั้งไว้(ในวามเห็นที่แล้ว)......แต่สรุปแล้วเมื่อเสร็จสิ้นกระบวนการสัญญาณไฟฟ้า(ส่วนที่เกินเกณฑ์)ที่ออกมาก็จะไม่ต่ำกว่าเส้น threshold ครับ
..........ส่วนกรณีที่เราตั้งค่า threshold ไว้ต่ำ ๆ (ค่อนมาทาง -10...-20...-40...)เกณฑ์(กำแพง)ก็เตี้ยลงมา(รูปด้านขวามือครับ)..........ศรชี้สีฟ้านั่นแหละครับ
......เมื่อเกณฑ์ในการอ้างอิงเตี้ย......สัญญาณเสียงที่เป็นสัญญาณไฟฟ้าค่าน้อย ๆ (เบา ๆ)ก็ต้องถูกเข้ากระบวนการ compress ด้วย.....มากน้อยแล้วแต่ค่า ratio ที่เราตั้งไว้เช่นกัน
...........แล้วจะตั้งค่าไหนดีล่ะ..............อันนี้ต้องขึ้นอยู่กับเครื่องมือของคุณ.......set threshold ต่ำไปเสียงออกมาก็เบา........สูงไปก็...ดังเกิน...ลำโพงขาด....แอมป์ไหม้.......เสียงแตก....เสียงบี้...พร่า........
........เอางี้.....เริ่มจากค่าต่ำ ๆ ก่อน.....แล้วค่อย ๆ เพิ่มขึ้นจนไม่เกิดอาการที่เขียนมาบรรทัดที่แล้ว....สำหรับค่า ratio ก็ลองตระโกนดัง ๆ ใส่ mic ...หรืออัดเครื่องดนตรีแรง ๆ ให้มันทำการลดสัญญาณ.....แล้วสังเกตผลรวมที่ mixer ว่ามัน peak หรือไม่.....ปรับแต่งที่ละนิด เดี๋ยวก็ได้ค่าที่เหมาะสมกับเครื่องของเราเองหละครับ...ขอย้ำนะครับว่า....เป็นค่าที่เหมาะสมกับเครื่องของเรา....จบครับ
......คราวหน้าก็ถึงเรื่องปุ่มปรับ ATTACK(วงสีแดง) และ RELEASE(วงสีน้ำเงิน)…ครับ...รอนิดนึง

compressor ภาค 2
........คราวที่แล้วผมเขียนเรื่องการปรับปุ่ม ratio ของ compressor ตั้งแต่ความเห็นที่ 1 โน่น(อื้อฮือ...นานจนลืมไปแล้ว)...ว่าการปรับค่าratio มีผลอย่างไรต่อการทำงาน
.......วันนี้ผมนำรูปคลื่นเสียงจริง ๆ ที่ยังไม่ถูกบีบอัดโดยกระบวนการ compressor หรือ limiter ให้คลื่นเสียงที่เกินกว่าเกณฑ์ที่เราตั้งไว้..(รูปบน...ในวงสีเขียวทั้งบนและล่าง....คลื่นเสียงจะมีทั้งบนและล่าง....เรียกว่าคลื่น + และคลื่น -)....จะเห็นว่ามีส่วนที่เกินกว่าเกณฑ์ที่เรากำหนดไว้(สมมุติว่าเราตั้งเกณฑ์ที่...ไม่ให้เกิน 50)
......รูปล่างครับ....เมื่อคลื่นเสียงชุดนี้ผ่านกระบวนการแล้ว....จะเห็นว่าในส่วนที่เคยเกินเกณฑ์ 50จะถูกบีบอัด...ลดทอนจนไม่เกินเกณฑ์ที่เราตั้งไว้.......
......ประโยชน์ที่ได้ก็คือเสียงที่จะออกไปที่ลำโพงจะไม่เกินเกณฑ์ที่กำหนดไว้.....ทำให้เสียงที่ออกมาไม่แตกพร่า....หรือลำโพงขาด....แอมป์ไหม้
....และถ้าเป็นวงจรที่ถูกออกแบบมาดี ๆ หน่อยเสียงที่ผ่านกระบวนการนี้จะเป็นเสียงที่ดีขึ้น...หนักแน่นขึ้น..นิดหน่อย...ขอย้ำว่านิดหน่อยนะครับ.............หรือที่ภาษานักดนตรีเรียกว่า...เสียงมันเหนียวขึ้น

..........มาว่ากันถึงเรื่องปุ่มปรับ attack ที่ compressor
......จากรูปด้านบนเป็นปุ่มปรับค่า compressor ของ behringer ปุ่มปรับที่ชื่อว่า ATTACK ..(วงสีแดงลูกศรแดง)..เป็นการปรับแต่งให้กระบวนการบีบอัดทำงานในทันทีทันใดที่...มีการตรวจพบเสียงที่เกินกว่าเกณฑ์......หรือจะให้เครื่องยังไม่ทำงานในทันที..(หน่วงเวลาการทำงานออกไปอีก)การหน่วงเวลาที่ให้มาหน่วงเวลาได้ถึง..300 msec..ในรุ่นนี้
......สรุปว่าปุ่ม attack มีไว้เพื่อกำหนดให้กระบวนการบีบอัดสัญญาณ...ทำงานในทันที....หรือไม่ทำงานในทันที...โดยยืดเวลาออกไป....และยืดการทำงานออกไป..เท่าไร
.......จากรูปล่าง....ถ้าเราปรับ attack ค่าต่ำ ๆ (ทำงานเร็ว ๆ ที่ตรวจพบ).... ส่วนเกินของเสียงในพื้นที่วงแดงจะถูกบีบอัด
..........ถ้าค่า attack ค่ากลาง ๆ ....ส่วนเกินของเสียงในพื้นที่วงสีน้ำเงิน..จะถูกบีบอัด
..........ถ้าค่า attack ตั้งค่าไว้สูง ๆ (หน่วงเวลามาก ๆ )....ส่วนเกินของเสียงในพื้นที่วงสีเหลืองจะถูกบีบอัด
……การบีบอัดและการลดทอนจะรายงานให้ทราบโดยแสดงออกมาเป็นแถบไฟในกรอบเหลี่ยมสีชมพู...รูปบน
......ลอง ๆ ทำความเข้าใจดูนะครับ.....จบเรื่อง attack
.....ขึ้นเรื่อง release
.....release เป็นปุ่มปรับเพื่อให้กระบวนการบีบอัดหยุดทันทีที่หมดเสียงที่เกินเกณฑ์......หรือจะให้เครื่องหน่วงเวลาการบีบอัดออกไปอีก......สังเกตได้ง่าย ๆ จากแถบไฟในกรอบเหลี่ยมสีชมพู(GAIN REDUCTION)......ถ้าเราปรับ release ไว้ที่ค่าต่ำ ๆ จะหมายถึง...เมื่อบีบอัดแล้ว...หยุดการบีบอัดทันที่....สังเกตแถบไฟจะแสดง...และจะหดหายไปในทันที
......ถ้าเราปรับค่า release ไว้สูง ๆ .....สังเกตแถบไฟที่ขึ้นมาตอนเกิดการบีบอัด ...จะไม่ลดลงในทันที.......แต่จะค่อย ๆ ลดลงช้า ๆ (ช้ามาก...ช้าน้อย...ขึ้นอยู่กับค่า release)...
........แล้วจะปรับอย่างไรล่ะ....ให้เหมาะสม.....อันนี้ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่างที่เกิดขึ้นบนเวที..ขณะนั้น......เสียงนักร้องที่กระแทกกระทั้น....ความเร็วของเพลง....ชนิดของเครื่องดนตรีที่จะทำการ compress .......ความไวของไมโครโฟน........และอื่นๆ...เป็นองค์ประกอบ
.....คงต้องแนะนำว่าต้องพึ่งตัวเองแล้วละครับ...ในการปรับแต่ง.....แต่งให้เหมาะสมกับเครื่องบนเวทีของคุณนั่นแหละเป็นสิ่งที่ถูกต้องที่สุด...โดยอาศัยหลักการทำงานที่ผมเขียน...มาเป็นหลักเกณฑ์ในการปรับแต่ง
..........ลองดูนะครับ

GATE คืออะไร

......แปลตรงตัวก็คือประตูที่เปิด – ปิดได้....sound engineer ทั่วไปนิยมใช้gate ในการปิด..กั้นสัญญาณเสียงจากแหล่งต่าง ๆ ให้เปิด(ดัง)และให้ปิด(ไม่ดัง)โดยอัตโนมัติ

........gate มีส่วนสำคัญในการปรบแต่งคือการปรับค่า threshold หมายถึงเกณฑ์ในการกำหนดให้..ปิด....เหมือนความสูงของกำแพงที่กั้นเสียงไว้….(ดูรูปขวามือในกรอบสี่เหลี่ยมค่าthreshold ตั้งค่าไว้ที่ความสูงของแถบสีเทา) เส้นประไข่ปลาแทนความดังของสัญญาณเสียงที่ผ่านมา .....ถ้าเสียงเบา...เตี้ยกว่ากำแพง...gateจะปิด...ผลคือเสียงนั้นจะไม่ออกมาสู่ลำโพง

.........เหนือกำแพงคือแถบดำ ๆ ...คือเกณฑ์ที่เสียงดังจนข้ามกำแพง threshold เข้าสู่แถบดำ....gate จะเปิด....ผลที่ตามมาคือเสียงที่ดังระดับนั้นจะถูกปล่อยให้ผ่านออกลำโพงครับ

..........gate นิยมใช้กับไมค์ที่รับเสียงกลองสด ๆ คิดดู ที่ tom 1อยู่ใกล้ กลองsnare มากที่สุด เวลามือกลองตี snare เสียงกลองsnare ย่อมดังเข้า ไมค์ tom 1แน่นอน ถ้าเราไม่มีgateกั้นไว้ที่ tom 1 2 3 ก็จะได้เสียง snare ที่ไม่สะอาด จึงจำเป็นต้องใช้ gate กับชุดกลอง

....เฉพาะชุดกลอง 1ชุดที่ผ่านมาใช้ ไมค์ปาเข้าไปก็ 8 ตัวแล้ว ถ้าไม่มีgate เสียงจะรบกวนกันเอง........ผลรวมที่ PA ไม่สะอาดเท่าที่ควร....คิดดูตามหลักความจริง ตี snare 1ที เสียงเข้าไมค์7-8ตัวแน่ะ....ฉะนั้นใน concert ทั่ว ๆ ไปจึงจำเป็นต้องใช้ gate ด้วยประการฉะนี้....ถ้ายังไม่มีตังค์ไม่เป็นไรแก้ไขโดยการใช้ไมค์ที่รับเฉพาะทางครับ.....คราวหน้าจะแนะนำวิธีเลือกไมค์ให้เหมาะเฉพาะงาน

.....บางวงมีปัญหา...มีเสียงฮัม(hum)หรือเสียงรบกวนอื่น ๆ ออก PA แล้วแก้ปัญหาโดยการใช้ gate ตัดเสียงก่อนออกลำโพง.....ครับเสียงเงียบจริง ๆ ครับเวลาไม่มีการพูด....เงียบจริง ๆ ......แต่พอพูดปุ๊บ...gate เปิดเสียงพูดและเสียง ฮัมก็ร่วมกันออกลำโพงลั่นไปหมด...ฟังดูน่ารำคาญจัง....นับเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุครับ

.........ควรแก้ปัญหาที่ต้นเหตุครับ...โดยการค้น....หา....สาเหตุที่มัน ฮัม ให้เจอครับแล้วจัดการขจัดเสียงรบกวนเหล่านั้นให้ได้....เสียงจากเครื่องเสียงที่เรารัก...มันก็จะสะอาดจน....ดมพิสูจน์ได้ครับ

.....รูปซ้ายมือเป็นวิธีต่อ gate เข้าที่ช่องmixer ที่ 2 โดยต่อที่ช่อง insert โดยใช้สาย แบบ Y ถ้าสงสัยให้กลับไปอ่านความเห็นที่ 41 ได้เลยครับ (ที่รูปจะเห็นช่องที่ 1 ของmixer ต่อกับkeyboard ก็มีการเสียบต่อกับ effect โดยใช้การต่อแบบ insert เหมือนกัน)…นอกจาก gate แล้ว...พวก compressor หรือ limiter ก็ควรใช้ที่ช่อง insert เหมือนกันครับ
 
  บันทึกการเข้า 
 
 
 
admin
รูปคือความทรงจำ
suwitchot
Hero Member

 ออฟไลน์

กระทู้: 595


อนุรักษ์และสร้างสรรค์ผลงาน


   Re: การใช้งานและการปรับตั้งค่า COMPRESSER-GATE-LIMITER
« ตอบ #2 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 06, 2010, 09:46:45 PM » 

--------------------------------------------------------------------------------
INSERT(แต่ละช่อง) และ MIX INSERT ของ mixer soundcraft คืออะไร

  Insert หมายถึงการสอดแทรก ในที่นี้ใช้สำหรับตัดต่อสัญญาณที่เข้ามาเพื่อนำสัญญาณนั้น (input) ไปผ่านกระบวนการต่าง ๆ ก่อนที่จะส่งสัญญาณนั้น ๆ กลับมาและส่งออกไป (out put)

ช่อง insert ต้องใช้สาย Y คือสายที่ด้านหนึ่งเป็นแจ็ค phone แบบstereo 1 ตัว ที่ปลายสุด(ปล้องที่ 1 )ต่อสายออกไป 1 เส้นที่ปลายสายต่อกับแจ็ค phone แบบ mono 1 ตัว(เรียกว่าสาย send) เป็นสายที่ต่อไปเข้า input ของเครื่องมืออื่น ๆ เช่น EQ- compressor -gate -effect และอื่น ๆ .....ส่วนที่ปล้องที่ 2 ของแจ็ค stereo ต่อสายอีก 1เส้น โดยที่ปลายต่อกับแจ็คแบบ mono 1ตัว(เรียกว่าสาย return)...เป็นสายที่ต่อไปเข้าout put ของเครื่องมือที่กล่าวมาแล้ว สายนี้จะมีหัวแจ็ค 3 หัว เหมือน อักษร Y

...อย่างนี้นะโยม สมมุตินะว่าช่องไมค์ ตัวที่ 1 โยมต้องการเอาสัญญาณเสียงร้องไปผ่านcompressor ก่อน(เหมือนทำก๋วยจั๊บน้ำใสให้เป็นน้ำข้น..น่ะโยม) ก็เอาสาย y เสียบที่ช่อง insert โดยเอาส่วนที่เป็นแจ็ค stereo เสียบนะ...โยม ....แล้วเสียบสาย send เข้าที่input ของเครื่องมือนั้น ๆ และเสียบสาย return ที่ out putของเครื่องมือนั้น ๆ

.....เท่านี้แหละโยม สัญญาณจากไมค์(เฉพาะช่องนั้น)ก็จะถูกตัดต่อให้ไปผ่านcompressorก่อนและย้อนกลับมาในช่องเดียว....อามิต..ตา.พุทธ

....สำหรับช่องmix insert ก็เช่นกัน...โยม เพียงแต่เป็นการนำสัญญาณที่เรา mix จนดีแล้ว..ไปผ่านเครื่องมือต่อไป....ที่วัดอาตมาใช้ช่องนี้ตัดต่อไปยัง EQ ก่อนออกไปยัง crossover...โยมด้วยเหตุผลที่ว่า สัญญาณก่อนจะออกไปcrossover นั้นจะผ่านไปยัง EQ ก่อนโดยวีธี insert นี้จะแสดงผลว่าสัญญาณที่ผ่าน eq แล้วนั้น สัญญาณจะแรงเกิน(clip)หรือไม่...โยม...โดยมันจะแสดงผลที่ไฟแท่ง ๆ นั่นแหละ

.....ขณะเดียวกันกรณีที่โยมใช้ หูฟัง(headphone) ในการset sound เสียงที่ดังในหูฟังนั่นแหละคือเสียงที่ผ่าน EQ แล้วโยม....นี่แหละข้อดีของการใช้ insert .......ใช้เถอะโยม...เพราะมันเป็นการใช้ของ ๆ เราอย่างคุ้มค่า....แล้วโยมจะรักเครื่องมือของโยม(กว่าโยมผู้หญิง)

เท่านี้ก่อนโยม.....ไปฉันเช้าก่อน..เดี๋ยวไม่ทันเณร
 
 
บ่งปันเรื่องการ set mixer
ปัญหา ที่ mixer ช่องที่จะใช้ mic จะปรับgain อย่างไร แค่ไหนถึงดี และเหมาะสม
......คำแนะนำ (อ้างถึงคู่มือการปรับgain ของsound craft )อันดับแรกปรับปุ่ม ทุ้ม กลาง แหลม( low mid high )ไว้ที่ เที่ยง (เทียบกับนาฬิกา )หรือที่ 0 dB (ทำไมต้อง 0 เรื่องนี้ต้องคุยกันยาว ๆ ครับ)ส่วนปุ่มที่เป็น paramatic ไม่ต้องปรับค

ออฟไลน์ เด็กชายเคยโสด

  • คณะบริหาร
  • ขี้โม้ระดับสุดยอด
  • ****
  • กระทู้: 20083
  • 6E65CE52,7309F48F,48B54692,6E674E74,1E001EF5
 บน MIXER คุณภาพดี ๆ เราจะเห็นช่องสัญญาณช่องหนึ่ง ที่เป็นช่องเสียบแจ็ค 1/4 TRS หรือเรียกง่าย ๆ ว่า PHONE STEREO มีข้อความกำกับว่า INSERT ช่องนี้หมายถึงอะไร
เรามาหาความรู้กันครับ
ช่อง INSERT นั้นจะเป็นช่องสำหรับต่อสัญญาณ PROCESSOR จากอุปกรณ์ภายนอกเช่น GATE COMPRESSOR EFFECT EQUALIZER หรืออุปกรณ์ PROCESSOR อื่น โดยนำสัญญาณจากช่องต่าง ๆ บน MIXER ที่เราเสียบสาย INSERT เข้าไป ไม่ว่าจะเป็น MONO CHANNAL, GROUP, MAIN MIX หรืออื่น ๆ ที่มีช่อง INSERT ไปทำการ PROCESS โดยอุปกรณ์ที่ต่อพ่วง แล้วส่งสัญญาณที่ PROCESS แล้วกลับมาลงที่ช่องเดิม
เห็นอย่างนี้แล้วก็สรุปง่าย ๆ ว่า ช่อง INSERT ก็หมายถึงการ SEND ออกไป และRETURN กลับมาในช่องเดียวกันนั่นเอง
การ INSERT ที่พบบ่อย ๆ ในการทำงานระบบเสียง เช่น
- INSERT NOISE GATE หรือ COMPRESSOR สำหรับช่องไมค์จ่อเครื่องดนตรีต่าง ๆ
- INSERT LIMITER สำหรับช่องที่สัญญาณเข้ามาแรงมาก เช่น สัญญาณ CD หรือTURNTABLE หรือ LINE KEYBOARD
- INSERT MIC-PRE สำหรับไมค์ร้อง หรือ กรุ๊ปไมค์
- INSERT EQULIZER สำหรับ ปรับความถี่ของเครื่องดนตรีบางชิ้น หรือ INSERT EQUALIZER ที่ MAIN MIXER ไปเลย
- การใช้แจ็ค INSERT ทำให้ง่ายต่อการใช้งาน และ ย้ายช่อง ในกรณีที่มีอุปกรณ์ PROCESSOR ไม่มาก

มาดูการทำสาย INSERT กันนะครับ


การต่อสาย INSERT เพื่อนำไปใช้งาน


ตัวอย่างการ INSERT บน MIXER






ออฟไลน์ nuttakit_p

  • ลงทะเบียน HL
  • ระดับ 4
  • *
  • กระทู้: 349
  • HL#8F634E13
ขอบคุณพี่"เด็กชายเคยโสด"เป็นอย่างสูงครับ ถ้าให้ชัดเจนกว่านี้รบกวน ช่วยโยงเส้นเป็นตัวอย่าง ในรูปภาพของผมด้วยครับ

ออฟไลน์ เด็กชายเคยโสด

  • คณะบริหาร
  • ขี้โม้ระดับสุดยอด
  • ****
  • กระทู้: 20083
  • 6E65CE52,7309F48F,48B54692,6E674E74,1E001EF5
ขอบคุณพี่"เด็กชายเคยโสด"เป็นอย่างสูงครับ ถ้าให้ชัดเจนกว่านี้รบกวน ช่วยโยงเส้นเป็นตัวอย่าง ในรูปภาพของผมด้วยครับ

ผมใช้ไแ้แป๊ดไม่สะดวกครับ

ออฟไลน์ รถแห่มิกซ์ออดิโอ

  • ลงทะเบียน HL
  • ระดับ 4
  • *
  • กระทู้: 395
  • 5DE484A8 ซื้อต่อจากชัยยุทธ ประนัดศรี
ผมใช้ Mixer และ Gate รุ่นนี้อยู่ จึงใคร่ขอความอนุเคราะห์ช่วย โยเส้นวิธีการต่อ Gate เข้า Mixer ให้ด้วยครับ และวิธีการปรับที่ Mixerกับ Gate ให้ด้วยครับ การใช้งาน ผมเอาไว้ใช้งาน กับไมค์ออกงาน Event ใช้ไมค์อยู่ 4 ตัวครับ

ขอขอบคุณเป็นอย่างสูงนะครับ
ณัฐกิตติ์

(....)

(....)



ถ้าเอา gate มาคุมไมค์งานพูด งาน event  น่าจะผิดหลักนะครับ... เพราะ gate เอาไว้ใช้กับเครื่องดนตรีจำพวกกลอง ซะมากกว่า

งานไมค์พูด ไมค์ร้อง ต้องเป็น compressor/gate นะครับ

ออฟไลน์ เด็กชายเคยโสด

  • คณะบริหาร
  • ขี้โม้ระดับสุดยอด
  • ****
  • กระทู้: 20083
  • 6E65CE52,7309F48F,48B54692,6E674E74,1E001EF5
ถ้าเอา gate มาคุมไมค์งานพูด งาน event  น่าจะผิดหลักนะครับ... เพราะ gate เอาไว้ใช้กับเครื่องดนตรีจำพวกกลอง ซะมากกว่า

งานไมค์พูด ไมค์ร้อง ต้องเป็น compressor/gate นะครับ

ใช่ครับ  บางทีเปิดเกทไว้สูงเสียงอาจขาดหายไปเฉย ๆ นะครับ


ออฟไลน์ นพ สุพรรณ

  • คณะก่อการ
  • ขี้โม้ระดับสุดยอด
  • ***
  • กระทู้: 16031
  • HL#5490A920   (x-men)
ใช่ครับ  บางทีเปิดเกทไว้สูงเสียงอาจขาดหายไปเฉย ๆ นะครับ




เห็นด้วยอย่างยิ่ง  วช้งานผิดประเภท  ไม่ได้ประโยชน์  แถมจะทำให้เสียงขาดๆหายๆอีกต่างหาก  งานมี๊ตติ้งเอ็กตรีมส์ที่สาลีวิว  โกแมวโดนมาแล้ว เปิด gate ในมิกซ์ดิจิมอ่น  ใช้กับไมค์

ออฟไลน์ nuttakit_p

  • ลงทะเบียน HL
  • ระดับ 4
  • *
  • กระทู้: 349
  • HL#8F634E13
"พัลลภ ศิริคอมพ์แอนด์มิวสิค"ถ้าเอา gate มาคุมไมค์งานพูด งาน event  น่าจะผิดหลักนะครับ... เพราะ gate เอาไว้ใช้กับเครื่องดนตรีจำพวกกลอง ซะมากกว่า

งานไมค์พูด ไมค์ร้อง ต้องเป็น compressor/gate นะครับ"
"นพ ณ สุพรรณ"เห็นด้วยอย่างยิ่ง  วช้งานผิดประเภท  ไม่ได้ประโยชน์  แถมจะทำให้เสียงขาดๆหายๆอีกต่างหาก  งานมี๊ตติ้งเอ็กตรีมส์ที่สาลีวิว  โกแมวโดนมาแล้ว เปิด gate ในมิกซ์ดิจิมอ่น  ใช้กับไมค์"



ขอบคุณทั้ง 2 ท่าน ครับ ที่แนะนำสิ่งดีดี  งั้นต้องประกาศขาย  แล้วซื้อcompressor/gate มาแทน

ขอบคุณเป็นอย่างสูงครับ
ณัฐกิตติ์
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 29 เมษายน 2014, 21:29:36 น. โดย nuttakit_p »

ออฟไลน์ nuttakit_p

  • ลงทะเบียน HL
  • ระดับ 4
  • *
  • กระทู้: 349
  • HL#8F634E13
ขอคำแนะนำด้วยครับ compressor/gate ใช้ไมค์พูด 4 ตัว  ราคา 10,000-20,000 บาท

ออฟไลน์ นพ สุพรรณ

  • คณะก่อการ
  • ขี้โม้ระดับสุดยอด
  • ***
  • กระทู้: 16031
  • HL#5490A920   (x-men)
ดูแล้วก็คงต้อง dbx มันจะได้เข้ากัน  แนะนำรุ่น 166xl

ใช้ตัวเดียวก็พอ  มีสองช่อง เอาไปอินเสิร์ท กับช่อง sub out , sub insert บังคับไมค์ทุกตัวออกที่ช่อง sub L R

มีของดีๆใช้ ต้องใช้ให้เป็นครับ  ไม่งั้น" เสียของ เสียเงินโดยไม่จำเป็น "

ออฟไลน์ nuttakit_p

  • ลงทะเบียน HL
  • ระดับ 4
  • *
  • กระทู้: 349
  • HL#8F634E13
ดูแล้วก็คงต้อง dbx มันจะได้เข้ากัน  แนะนำรุ่น 166xl

ใช้ตัวเดียวก็พอ  มีสองช่อง เอาไปอินเสิร์ท กับช่อง sub out , sub insert บังคับไมค์ทุกตัวออกที่ช่อง sub L R

มีของดีๆใช้ ต้องใช้ให้เป็นครับ  ไม่งั้น" เสียของ เสียเงินโดยไม่จำเป็น "


ขอบคุณน้านพ ณ สุพรรณ เป็นอย่างสูงครับ เดี๋ยวจะลองนำไปใช้ดู

ออฟไลน์ นพ สุพรรณ

  • คณะก่อการ
  • ขี้โม้ระดับสุดยอด
  • ***
  • กระทู้: 16031
  • HL#5490A920   (x-men)
ขอบคุณน้านพ ณ สุพรรณ เป็นอย่างสูงครับ เดี๋ยวจะลองนำไปใช้ดู


ที่ให้ใช้ช่องนี้เพราะโจทย์มันอยู่ที่ใช้ไมค์4 ตัว คอมเพรสเซอร์ทั่วๆไปมักจะมีแค่สองช่อง  ถ้าจะใช้สี่ช่องต้องซื้อสองตัว เปลืองเงิน

มิกซ์รุ่นนี้ดี  สามารถเอาอุปกรณ์ต่อพ่วงอื่นๆมาอินเสริ์ทที่ช่อง sub  (หรือ bus หรือ group ในมิกซ์ยี่ห้ออื่นตามแต่จะเรียกกัน) ประหยัดไปได้เยอะ