อ่านจากที่นี่ครับ
http://www.oknation.net/blog/rakmusic/2009/08/25/entry-3หรือ
นับจาก บารัค โอบามา ปลุกกระแส Change ขึ้นมา ความเคลื่อนไหวของผู้คนในแวดวงต่างๆ
ก็ไปสัมพันธ์หรือเกี่ยวข้องกับคำๆ นี้ ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
ในวงการดนตรี ผลงานชื่อ Playing For Change : Songs Around the World
กลายมาเป็นอัลบั้มที่มีผู้คนกล่าวขวัญถึงโดยทั่วหน้าในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา
ไม่เว้นแม้กระทั่งในบ้านเรา ผมได้ยินมาว่าแวดวงบิททอเรนท์ที่สนุกสนานกับวัฒนธรรม “ของฟรี” ไฟล์แชริ่ง
ก็ยังตื่นเต้นกับฟุตเทจภาพและเสียงของศิลปินกลุ่มนี้ที่มาร้องเพลงให้ฟัง
ทั้งที่ เอาเข้าจริงๆ ศิลปินกลุ่มนี้ ส่วนใหญ่ก็ไม่เป็นที่คุ้นหน้าคุ้นตาแต่อย่างใด จำนวนไม่น้อยเป็นนักดนตรีข้างถนน
ทั้งในยุโรป และอเมริกา บางคนเป็นพระในกัทมัณฑุ บางส่วนเป็นชนเผ่าดั้งเดิมในแอฟริกาใต้
ถือเสียว่าเป็นการเปลี่ยนบรรยากาศ เพราะที่แล้วๆ มา คนในแวดวงบิททอเรนท์ล้วนแต่เคยชินกับการแสดงของเหล่าศิลปินคนดังทั้งนั้น
ทว่า ผู้คนที่เคยชินกับวัฒนธรรม “ของฟรี” อย่าง บิททอเรนท์ อาจไม่มีโอกาสรับรู้ว่า ผู้ดำเนินการจัดทำอัลบั้มนี้มีจิตอันเป็นกุศล
พวกเขาเห็นถึงพลังของเสียงดนตรีที่เปลี่ยนแปลงโลก จึงหวังนำรายได้จากการขายผลงานชุดนี้ไปสร้างโรงเรียนดนตรีให้เด็กๆ ในพื้นที่ที่ขาดแคลนทั่วโลก
ใครสนใจอยากร่วมทำบุญ งานชุดนี้ พอหาซื้อได้ในบ้านเรา โดยมี “ยูนิเวอร์ซัล มิวสิค” ดูแลการผลิตและจัดจำหน่าย
จากฝีมือการตัดต่อฟุตเทจภาพวิดีโอที่แนบเนียน ซึ่งล้วนเป็นการแสดงของเหล่านักร้องนักดนตรีต่างสีผิวและชาติพันธุ์
จากทวีปหนึ่งข้ามไปยังอีกทวีปหนึ่ง ด้วยเงื่อนไขการเลือกเพลงที่มีความไพเราะอย่างเรียบง่าย เช่น เพลงบนชีพจรอันโยกโยนแบบอ “เร้กเก้”
ผ่านสุ้มเสียงการร้องที่อบอุ่นอ่อนโยน วิธีการนี้มีมนต์สะกดที่ทำเอาหลายคนซึ้งจนน้ำตาซึม
ซึ่งอาจด้วยประจักษ์ในคำกล่าวของท่านมหาตมะคานธีที่ว่า “โลกทั้งผองพี่น้องกัน” ก็เป็นได้
ที่มาที่ไปของอัลบั้มชุดนี้ มาจากไอเดียของ มาร์ค จอห์นสัน (คนละคนกับมือเบสแจ๊สชื่อดัง) เขาเป็นโปรดิวเซอร์เพลงที่บังเกิดอาการ “ซาโตริ”
ขึ้นมาทันที (satori = sudden nlightenment) เมื่อวันหนึ่งเดินทางผ่านมา แล้วได้ยิน โรเจอร์ ริดลีย์ นักดนตรีผิวสีกำลังร้องเพลงอยู่บนท้องถนน
ในเมืองตากอากาศสวยๆ อย่าง ซานตา มอนิกา
จริงๆ แล้ว ผมเชื่อว่าหลายคนคงเคยรู้สึกทึ่งกับพลังที่มองไม่เห็น จากเสียงร้องของศิลปินเพลงข้างทาง เพราะบ่อยครั้งเบื้องลึกลงไปจากบทเพลงเหล่านั้น
ยังมีเรื่องราวของการเดินทางอันยาวไกล เป็นประสบการณ์ที่เราสัมผัสได้ด้วยใจ และนั่นคือความแตกต่างอย่างสำคัญ
กับเพลงป๊อปบางกลุ่มที่ฟังเอาเฉพาะความบันเทิงแบบฉาบฉวย
แต่ความคิดของ มาร์ค ผุดพรายต่อเนื่องยาวไกลไปกว่านั้น ... เสียงร้องของโรเจอร์ไม่เพียงทำให้ขนลุกซู่
แต่เขาอยากรู้ว่าหากชวนศิลปินสามัญชนบนท้องถนนจากที่ต่างๆ ทั่วโลกมาถ่ายทอดบทเพลงร่วมกัน ผลลัพธ์จะเกิดอะไรขึ้น !
นั่นพอจะปะติดปะต่อให้กลายเป็นภาพของการร้องขับขานบทเพลงเพื่อเปลี่ยนแปลงโลกได้หรือไม่ ?
เพราะ... เสียงเพลงคือสื่อมหัศจรรย์และทรงพลานุภาพ หลังจากนั้น เมื่อมีศิลปินแนวโฟล์ค บลูส์ อย่าง เคบ โม (เควิน มัวร์) เป็นที่ปรึกษา
มาร์ค จอห์นสัน ก็ใช้เวลา 4 ปีสำหรับขั้นตอนของโปรดักชั่นทั้งหมด
ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางไปประสานงาน ค้นหาศิลปินต่างๆ บนท้องถนน จัดเตรียมอุปกรณ์บันทึกภาพและเสียง
จนในที่สุดกลายเป็นอัลบั้มชุดนี้ที่บรรจุ 2 แผ่น (Dual Discs)
แผ่นแรกเป็นออดิโอซีดี มีเพลง 10 เพลง ส่วนแผ่นหลังเป็นดีวีดีที่มีฟุตเทจ 5 เพลงพร้อมสารคดีเบื้องหลัง และที่มาที่ไปของงานนี้
ศิลปินที่ร้องเพลงร่วมกันในอัลบั้มนี้ ไม่มีโอกาสพบกันจริงๆ แต่พวกเขาโคจรมาร้องเพลงกันได้ โดยอาศัยความก้าวหน้าของเทคโนโลยี
ซึ่งเอาเข้าจริงๆ ไม่ใช่เรื่องง่ายนัก เพราะส่วนใหญ่บันทึกเสียงในสถานที่กลางแจ้ง ซึ่งยากต่อการควบคุม
ขณะที่แวดวงเพลงป๊อป อาจจะคุ้นเคยกับงาน Overdubbing หรือการอัดทีละแทร็คแล้วนำมารวมกันอยู่แล้ว
แต่ส่วนมากเป็นการอัดในสตูดิโอที่ควบคุมเสียงได้ดี มิใช่การบันทึกเสียงแบบนี้
ดังนั้น งานชุดนี้จึงมีความท้าทายตรงที่ต้องจัดการมิให้เกิดรอยตะเข็บของเสียงในสถานที่แต่ละอย่างเด็ดขาด
พวกเขามี Stand By Me เพลงเก่าของ เบน อี. คิง เป็นเพลงเอก เปิดฉากด้วยการร้องนำของ โรเจอร์ ริดลีย์ ตามด้วยศิลปินอีกกว่า 35 ชีวิต
ทั้งร้องและบรรเลง จากเนเธอร์แลนด์, แอฟริกาใต้, คองโก, รัสเซีย, อิตาลี ฯลฯ
One Love เป็นเพลงฮิตของ บ๊อบ มาร์ลีย์ ศิลปินเพลงเร้กเก้ผู้วายชนม์ แต่เพลงๆ นี้ของเขาบ่งบอกถึงความอมตะคงทนคู่โลก มาร์ค
เดินทางไปอัดเพลงนี้ที่อินเดีย มีเครื่องดนตรีพื้นเมืองทั้งเสียงซิตาร์ วีณา และกลองทาบลา
เพิ่มเติมด้วยเสียงร้องประสานของธิเบต ประชันกับเครื่องดนตรีตะวันตก
นอกจากไอเดียในการรวมนักดนตรีสามัญชนจากทั่วโลกแล้ว การเลือกสรรเพลงก็ยังสะท้อนถึงมุมมองอันคมคาย
มาร์ค ใช้เพลง War/No More Trouble ของ บ๊อบ มาร์ลีย์, Biko ของ ปีเตอร์ เกเบรียล,
Talkin’ About A Revolution ของ เทรซี แชพแมน ,
มีเพลงโฟล์คน่ารักจากอินเดียอย่าง Chanda Mama มีเพลงแต่งใหม่ของ ยูทู กับ บ๊อบ ดีแล่น ใน Love Rescue Me ,
มี Don’t Worry จากปลายปากกาของศิลปินสแปนิช จากนั้นชักนำศิลปินบางส่วนให้มาพบกัน
ในเพลงคลาสสิกของ แซม คุก ที่ชื่อ A Change Is Gonna Come
แม้จะมีความพยายามสูงเพียงใด สำหรับผม Playing For Change มีความโดดเด่นในด้านแนวคิดและการบันทึกภาพเท่านั้น
เพราะเขาสามารถเชื่อมโยงให้เราเห็นโลกใบเดียวกันที่ดำรงอยู่ร่วมกันได้บนความหลากหลาย แต่ในส่วนของตัวคุณภาพเสียงแล้ว
โดยรวมยังไม่น่าพึงพอใจนัก ยิ่งหากคุณฟังผ่านระบบเสียงดีๆ ยิ่งฟ้องถึงรอยตะเข็บมากมาย
แต่นั่นแหละคนส่วนมากมักไม่ทันสังเกต หลายคนโดนอิทธิพลจากฟุตเทจจากวิดีโอนำทางไปล่วงหน้าแล้ว
เพราะคนยุคนี้ฟังเพลงกันด้วย “ตา” มากเสียจนลืมไปว่า
อวัยวะที่ใช้ฟังเสียงดนตรีนั้น คือ “หู” ต่างหาก.