ทั้งคุณพี่จิตกรและพี่หมอแม็คครับ
จะเห็นได้ว่า อุปกรณ์2ตัวที่เราต้องเข้าใจรู้จักใช้เพื่อควบคุมสัญญาณให้มีความพอดี มีคุณภาพไหลออกมาถึงหูเรา คือ ปุ่มGainและเฟดเดอร์สไลด์ในแชนแนลสตริบ ที่สมาชิกผู้เชี่ยวชาญอธิบายมานั้นมีความสำคัญเพียงไร
สมาชิกและผู้สนใจคงจำได้ว่า เมื่อก่อน เราเล่นมิกเซอร์ แรกๆเราไม่ค่อยให้ความสำคัญกับความหมายบนอุปกรณ์สองชิ้นนี้นัก โดยเฉพาะปุ่มGain มองผ่านไปด้วยซ้ำ แถมยังทนุถนอมปุ่มGainถึงขั้นไม่ยอมหมุน ไม่ยอมใช้เลยก็มี มาสนใจเจ้าปุ่่มกดเลื่อนรูดขึ้นลง(เฟดเดอร์สไลด์)เสียมากกว่า เพราะมีแอคชั่นชัดเจน มองเห็นถนัดตา เวลาใช้ ไม่ต้องการเสียงดังมากก็รูดขึ้นน้อยๆ ต้องการดังมากก็รูดขี้นมากๆ รูดไปหยุดไว้ที่พอใจ สบายหู โดยเฉพาะที่Main Out Fader อย่างนี้คงต้องการคำอธิบายเพิ่มเติมจากพี่หมอแม็คและผู้เชี่ยวชาญทุกท่านอีกว่า เหมาะสมเพียงไร
ประการต่อมา นอกจากจุดคอนโทรลสัญญาณสองจุดที่กล่าวมาแล้วยังไม่พอแน่ๆ ผมอยากได้คำอธิบายชัดๆอีกหนึ่งจุดครับ คือ ลำโพง ลำโพงป็นตัวเปลี่ยนพลังงานไฟฟ้าให้เป็น"พลังงานเสียง" ซึ่งต้องอาศัยอุปกรณ์ตัวสุดท้ายที่เราจำเป็นต้อง"คอนโทรล"เช่นกัน คือ เพาเวอร์แอมป์ หรือเครื่องขยายเสียง
คำถามต่อไปครับ ......"เครื่องขยายเสียง หรือเพาเวอร์แอมป์เป็นอุปกรณ์ที่หน้าที่หลักๆคืออะไร(ดูเหมือนจะถามแบบคนไม่มีความรุ้เลยนะ-แต่ต้องถาม)มีอุปกรณ์คอนโทรลหลักๆคืออะไร ส่วนมากเป็นปุ่มหมุน ช่วงของการหมุนต้องมีเป็นตัวเลขเหมือนGainและเฟดเดอร์(Pre-Post)ไหม และต้องหมุนไปแค่ไหน ต้องสุดไหม...ใช้อย่างไรให้ถูกต้อง....."
ขอขอบพระคุณล่วงหน้าอีกครั้งครับ พั่หมอแม็คและผู้เชี่ยวชาญทุกท่าน
Main Fader ควรอยู่ตำแหน่งใด
-ตำแหน่งที่ดีที่สุดคือ “unity” หรือ 0dB เพราะตำแหน่งนี้ จะบอกถึงภาพรวมของ gain input>>output ได้ดีที่สุด
ที่สำคัญเวลา sound check ถ้าเราตั้ง Channel Fader ที่ 0 dB, Main Fader 0 dB เมื่อเราปรับ input gain การแสดงผลของ Main meter จะ เหมือนเรากดปุ่ม PFL เพื่อ solo ดูสัญญาณ input gain ได้เลย
ถึงกระนั้นก็สามารถเพิ่มลดได้ตามสมควรครับ
ส่วน Power Amplifier หน้าที่คือ ขยายสัญญาณจาก line level เพื่อเพิ่มแรงดันไฟฟ้า(Voltage) และกระแสไฟฟ้า(Current) สู่ Loudspeaker level
Power amplifier แบ่งประเภทได้ตามการออกแบบของภาค Output topology เช่น Class A, AB, B, D, TD เป็นต้น
ประเด็นสำคัญสำหรับ Power Amplifier ที่เกี่ยวกับ System Gain Structure คือ อัตราขยาย (Voltage gain) และ Input Sensitivity ของ Power Amp
Voltage gain ของ power amp สามารถบอกได้ 2 วิธีคือ
1. Voltage gain แบบ Linear scale แสดงในรูปแบบตัวคูณของoutput/input เช่น 20V output เทียบกับ 1V input จะได้ gain=20x
2. Voltage gain แบบ Logarithm scale แสดงในรูปแบบ 20log (output/input) เช่น 20V output เทียบกับ 1V input จะได้ 20log(20/1) = 26dBV
เราสามารถคำนวณกำลังขยายสูงสุดของ power amp ได้จาก specification ของ power amp นั้นๆ เช่น
1200W@8Ω คำนวณจาก joule’s law จะได้ 98V และคำนวณเป็นเลขลอการิทึมได้ 42dBu(เทียบจาก 0dBu หรือ 0.775V)
ส่วน Sensitivity หรือความไวของ power amp มี 2แบบ
Input sensitivity (input voltage) เป็นค่าแรงดัน input ที่ทำให้ Power amp ขับได้กำลังสูงสุด เมื่อปุ่ม level control อยู่ที่ตำแหน่งขวาสุด
เช่น 0.775V, 1.4V
และ Sensitivitiy แบบ Fixed gain ซึ่งสามารถกำหนดแรงดัน output ให้คงที่เมื่อเทียบกับ Input
เช่น 26dB, 32dB, 44dB (ตำแหน่ง Level control อยู่ตำแหน่งขวาสุด)
จากกราฟความสัมพันธ์ระหว่าง Power rating@ 8Ω กับ Voltage gain(log)
ยกตัวอย่างเช่น Power Amp 400W@8Ω คิดเป็น Maximum Voltage Gain = 35 dB (เทียบ input 1V)
ถ้าปรับ input sensitivity เป็น 0.775V กำลังขยายจะได้ 37.2dB เมื่อเทียบกับ input 0.77V(0dBu)
ถ้าปรับ input sensitivity เป็น 1.4V กำลังขยายจะเป็น 32 dB เมื่อเทียบกับ input 1.4V
แต่ถ้าเราใช้ sensitivity แบบ Fixed gain เช่น
ปรับเป็น 32dB
- ระดับสัญญาณ input 1.4V (5dBu) จึงจะขับOutputได้ 400W
- ระดับ input 0 dBu ทำให้ได้กำลังขยาย 32dBu ต้องใช้ input อีก 5dBu จึงจะได้ กำลังขยาย 37dBu (400W)
- ระดับ input 0dBV(2.2dBu) ทำได้กำลังขยายเป็น 32dBV จะต้องใช้ input เพิ่มอีก 3 dBจึงจะได้กำลังขยายเต็ม 35dBV(400W)
ส่วน Level control หรือปุ่ม Volume จะอยู่ตรงไหนนั้นก็ขึ้นกับ ระดับความดังที่เหมาะสมกับสถานที่หรือสเกลงานนั้นๆ ไม่จำเป็นต้องบิดจนสุด เพราะสิ่งที่สำคัญที่สุดใน System Gain Structure คือ Mixer Gain Structure