eXtreme Karaoke

หมวดหมู่ทั่วไป => บทความ ความรู้ วิชาการ ด้านต่าง ๆ => ข้อความที่เริ่มโดย: สายฝน ที่ วันที่ 23 พฤษภาคม 2013, 07:53:11 น.

หัวข้อ: พุทธวจนสวัสดี
เริ่มหัวข้อโดย: สายฝน ที่ วันที่ 23 พฤษภาคม 2013, 07:53:11 น.
พุทธวจนสวัสดี
หัวข้อ: Re: พุทธวจนสวัสดี
เริ่มหัวข้อโดย: หนุ่มเมืองนคร (ไทย) ที่ วันที่ 23 พฤษภาคม 2013, 08:42:16 น.
ตาลายเลยน้อง..กลับมาอ่านหัวกระทู้อีกที เป็น พุธ-จน-สวัสดี ซะงั้น เอิ๊กส์..
หัวข้อ: Re: พุทธวจนสวัสดี
เริ่มหัวข้อโดย: สายฝน ที่ วันที่ 23 พฤษภาคม 2013, 08:43:53 น.
การตอบแทนคุณมารดาบิดาอย่างสูงสุด
ภิกษุทั้งหลาย ! เรากล่าวการกระทำตอบแทน
ไม่ได้ง่ายแก่ท่านทั้งสอง. ท่านทั้งสอง คือใคร ?
คือ มารดา ๑ บิดา ๑
ภิกษุทั้งหลาย ! บุตรพึงประคับประคองมารดา
ด้วยบ่าข้างหนึ่ง พึงประคับประคองบิดาด้วยบ่าข้างหนึ่ง
เขามีอายุ มีชีวิตอยู่ตลอดร้อยปี และเขาพึงปฏิบัติท่านทั้งสอง
นั้นด้วยการอบกลิ่น การนวด การให้อาบนำ้ และการดัด
และท่านทั้งสองนั้น พึงถ่ายอุจจาระปัสสาวะบนบ่าทั้งสอง
ของเขานั่นแหละ. ภิกษุทั้งหลาย ! การกระทำอย่างนั้น
ยังไม่ชื่อว่าอันบุตรทำแล้ว หรือทำตอบแทนแล้ว
แก่มารดาบิดาเลย.
ภิกษุทั้งหลาย ! อนึ่ง บุตรพึงสถาปนามารดา
บิดาในราชสมบัติ อันเป็นอิสราธิปัตย์ ในแผ่นดินใหญ่
อันมีรตนะ ๗ ประการมากหลายนี้ การกระทำอย่างนั้น
ยังไม่ชื่อว่าอันบุตรทำแล้ว หรือทำตอบแทนแล้ว
แก่มารดาบิดาเลย ข้อนั้นเพราะเหตุไร ?
18 พุ ท ธ ว จ น
เพราะมารดาบิดามีอุปการะมาก บำรุงเลี้ยง
แสดงโลกนี้แก่บุตรทั้งหลาย
ส่วนบุตรคนใดยังมารดาบิดาผู้ไม่มีศรัทธา
ให้สมาทานตั้งมั่นในสัทธาสัมปทา (ความถึงพร้อมด้วย
ศรัทธา)
ยังมารดาบิดาผู้ทุศีล ให้สมาทานตั้งมั่นใน
สีลสัมปทา (ความถึงพร้อมด้วยศีล)
ยังมารดาบิดาผู้มีความตระหนี่ ให้สมาทาน
ตั้งมั่นในจาคสัมปทา (ความถึงพร้อมด้วยการบริจาค)
ยังมารดาบิดาทรามปัญญา ให้สมาทานตั้งมั่น
ในปัญญาสัมปทา (ความถึงพร้อมด้วยปัญญา)
ภิกษุทั้งหลาย ! ด้วยเหตุมีประมาณเท่านี้แล
การกระทำอย่างนั้น ย่อมชื่อว่าอันบุตรนั้นทำแล้วและ
ทำตอบแทนแล้วแก่มารดาบิดา.
ทุก. อํ. ๒๐/๗๘/๒๗๘.
หัวข้อ: Re: พุทธวจนสวัสดี
เริ่มหัวข้อโดย: sriAROON ที่ วันที่ 23 พฤษภาคม 2013, 10:39:47 น.
ยากเกินไปไหม ยิ่งใหญ่ลึกล้ำ สูงส่งลึกซึ้งเกินเอื้อมถึงไปไหม
ถ้าจะให้ง่ายเข้า ลองนี่ครับ แค่พูดถึงหนูกับแมว ทอมกับเจอรี่ เด็กๆ
โหลดให้ครบ 27 ตอนที่มีเลขไทยกำกับอยู่ข้างหน้า ๑ ถึง ๒๗ แล้วลองทำตามครับ

http://www.supawangreen.in.th/news_detail.php?id=309
หัวข้อ: Re: พุทธวจนสวัสดี
เริ่มหัวข้อโดย: สายฝน ที่ วันที่ 23 พฤษภาคม 2013, 13:49:59 น.
ยากเกินไปไหม ยิ่งใหญ่ลึกล้ำ สูงส่งลึกซึ้งเกินเอื้อมถึงไปไหม
ถ้าจะให้ง่ายเข้า ลองนี่ครับ แค่พูดถึงหนูกับแมว ทอมกับเจอรี่ เด็กๆ
โหลดให้ครบ 27 ตอนที่มีเลขไทยกำกับอยู่ข้างหน้า ๑ ถึง ๒๗ แล้วลองทำตามครับ

http://www.supawangreen.in.th/news_detail.php?id=309

 :thank2:

ทรงบอกวิธีแก้ไขความผิดเพี้ยนในคำ�สอน
๑. (หากมี) ภิกษุในธรรมวินัยนี้กล่าวอย่างนี้ว่า ผู้มีอายุ ! ข้าพเจ้าได้สดับรับมาเฉพาะ
พระพักตร์พระผู้มีพระภาคว่า “นี้เป็นธรรม นี้เป็นวินัย นี้เป็นคำ�สอนของพระศาสดา”...
๒. (หากมี) ภิกษุในธรรมวินัยนี้กล่าวอย่างนี้ว่า ในอาวาสชื่อโน้นมีสงฆ์อยู่พร้อมด้วย
พระเถระ พร้อมด้วยปาโมกข์ ข้าพเจ้าได้สดับมาเฉพาะหน้าสงฆ์นั้นว่า “นี้เป็นธรรม
นี้เป็นวินัย นี้เป็นคำ�สอนของพระศาสดา”...
๓. (หากมี) ภิกษุในธรรมวินัยนี้กล่าวอย่างนี้ว่า ในอาวาสชื่อโน้นมีภิกษุผู้เป็นเถระอยู่
จำ�นวนมาก เป็นพหุสูต เรียนคัมภีร์ ทรงธรรม ทรงวินัย ทรงมาติกา ข้าพเจ้าได้สดับมา
เฉพาะหน้าพระเถระเหล่านั้นว่า “นี้เป็นธรรม นี้เป็นวินัย นี้เป็นคำ�สอนของพระศาสดา”...
๔. (หากมี) ภิกษุในธรรมวินัยนี้กล่าวอย่างนี้ว่า ในอาวาสชื่อโน้นมีภิกษุผู้เป็นเถระอยู่
รูปหนึ่ง เป็นพหุสูต เรียนคัมภีร์ ทรงธรรม ทรงวินัย ทรงมาติกา ข้าพเจ้าได้สดับมา
เฉพาะหน้าพระเถระรูปนั้นว่า “นี้เป็นธรรม นี้เป็นวินัย นี้เป็นคำ�สอนของพระศาสดา”...
    เธอทั้งหลายยังไม่พึงชื่นชม ยังไม่พึงคัดค้านคำ�กล่าวของผู้นั้น พึงเรียนบทและ
พยัญชนะเหล่านั้นให้ดี แล้วพึงสอบสวนลงในพระสูตร เทียบเคียงดูในวินัย
ถ้าบทและพยัญชนะเหล่านั้น สอบลงในสูตรก็ไม่ได้ เทียบเข้าในวินัยก็ไม่ได้
พึงลงสันนิษฐานว่า “นี้มิใช่พระดำ�รัสของพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้นแน่นอน และ
ภิกษุนี้รับมาผิด” เธอทั้งหลาย พึงทิ้งคำ�นั้นเสีย
ถ้าบทและพยัญชนะเหล่านั้น สอบลงในสูตรก็ได้ เทียบเข้าในวินัยก็ได้ พึงลง
สันนิษฐานว่า “นี้เป็นพระดำ�รัส ของพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้นแน่นอน และ
ภิกษุนั้นรับมาด้วยดี” เธอทั้งหลาย พึงจำ�มหาปเทส... นี้ไว้.
มหา. ที. ๑๐/๑๔๔/๑๑๓-๖.
หัวข้อ: Re: พุทธวจนสวัสดี
เริ่มหัวข้อโดย: สายฝน ที่ วันที่ 23 พฤษภาคม 2013, 14:15:01 น.
สารบัญ
มรรค(วิธีที่)ง่าย ๑
คำนำ ๒
การละนันทิ ๗
๑. ภพแม้ชั่วขณะดีดนิ้วมือก็ยังน่ารังเกียจ ๘
๒. ผู้เข้าไปหา เป็นผู้ไม่หลุดพ้น ๙
ผู้ไม่เข้าไปหา ย่อมเป็นผู้หลุดพ้น
๓. จิตมีตัณหา เรียกว่าอยู่สองคน ๑๒
จิตไม่มีตัณหา เรียกว่าอยู่คนเดียว
๔. พรหมจรรย์นี้ อันบุคคลย่อมประพฤติ ๑๖
เพื่อการละขาดซึ่งภพ
๕. สิ้นนันทิ สิ้นราคะ ก็สิ้นทุกข์ ๑๙
๖. ความดับทุกข์มี ๒๑
เพราะความดับไปแห่งความเพลิน (นันทิ)
กายคตาสติ ๒๓
๗. กายคตาสติ เป็นเสาหลักเสาเขื่อนอย่างดีของจิต ๒๔
ลักษณะของผู้ไม่ตั้งจิตในกายคตาสติ ๒๔
ลักษณะของผู้ตั้งจิตในกายคตาสติ ๒๖
๘. กระดองของบรรพชิต ๒๙
๙. ตั้งจิตในกายคตาสติ เสมือนบุรุษผู้ถือหม้อนำ้มัน ๓๒
อานาปานสติ ๓๕
๑๐. อานิสงส์สูงสุดแห่งอานาปานสติ ๒ ประการ ๓๖
๑๑. เจริญอานาปานสติ เป็นเหตุให้
สติปัฏฐาน ๔โพชฌงค์ ๗ วิชชาและวิมุตติบริบูรณ์ ๔๐
อานาปานสติบริบูรณ์ ย่อมทำสติปัฏฐานให้บริบูรณ์ ๔๑
สติปัฏฐานบริบูรณ์ ย่อมทำโพชฌงค์ให้บริบูรณ์ ๔๗
โพชฌงค์บริบูรณ์ ย่อมทำวิชชาและวิมุตติให้บริบูรณ์ ๕๑
ปฏิปทาเปน็ ที่สบายแกก่ ารบรรลุ “นิพพาน” ๕๓
๑๒. ปฏิปทาเป็นที่สบายแก่การบรรลุนิพพาน (นัยที่ ๑) ๕๔
๑๓. ปฏิปทาเป็นที่สบายแก่การบรรลุนิพพาน (นัยที่ ๒) ๕๖
๑๔. ปฏิปทาเป็นที่สบายแก่การบรรลุนิพพาน (นัยที่ ๓) ๕๘
๑๕. ปฏิปทาเป็นที่สบายแก่การบรรลุนิพพาน (นัยที่ ๔) ๖๐
๑๖. กระจายเสีย ซึ่งผัสสะ ๖๓
๑๗. เจริญอริยมรรคมีองค์ ๘ ด้วยวิธีลัด ๖๘
๑๘. เมื่อไม่มีมา ไม่มีไปย่อมไม่มีเกิด และไม่มีดับ ๗๑
สักแต่ว่า... ๗๓
๑๙. สักแต่ว่า... (นัยที่ ๑) ๗๔
๒๐. สักแต่ว่า... (นัยที่ ๒) ๗๕
สติปัฏฐาน ๔ ๗๙
๒๑. มีสติ มีสัมปชัญญะ รอคอยการตาย ๘๐
การละอวิชชาโดยตรง ๘๕
๒๒. ธรรมทั้งปวง ไม่ควรยึดมั่น ๘๖
๒๓. การเห็นซึ่งความไม่เที่ยง ๘๙
ปฏิปทาเพื่อบรรลุมรรคผลของคนเจ็บไข ้ และบุคคลทั่วไป ๙๑
๒๔. ปฏิปทาเพื่อบรรลุมรรคผลของคนเจ็บไข้ ๙๒
๒๕. ปฏิปทาเพื่อบรรลุมรรคผลของบุคคลทั่วไป (นัยที่ ๑) ๙๔
๒๖. ปฏิปทาเพื่อบรรลุมรรคผลของบุคคลทั่วไป (นัยที่ ๒) ๙๖
๒๗. ปฏิปทาเพื่อบรรลุมรรคผลของบุคคลทั่วไป (นัยที่ ๓) ๙๘
๒๘. ปฏิปทาเพื่อบรรลุมรรคผลของบุคคลทั่วไป (นัยที่ ๔) ๑๐๐
สัมมาสังกัปปะ (ความดำริชอบ) ๑๐๕
๒๙. ผู้มีความเพียรตลอดเวลา ๑๐๖
๓๐. ผู้เกียจคร้านตลอดเวลา ๑๐๙
ปฏิปทาของการสิ้นอาสวะ ๔ แบบ ๑๑๓
๓๑. ปฏิปทาของการสิ้นอาสวะ ๔ แบบ ๑๑๔
แบบปฏิบัติลำบาก รู้ได้ช้า ๑๑๕
แบบปฏิบัติลำบาก รู้ได้เร็ว ๑๑๖
แบบปฏิบัติสบาย รู้ได้ช้า ๑๑๗
แบบปฏิบัติสบาย รู้ได้เร็ว ๑๑๘
หัวข้อ: Re: พุทธวจนสวัสดี
เริ่มหัวข้อโดย: สายฝน ที่ วันที่ 23 พฤษภาคม 2013, 14:26:48 น.
คำนำ
ปฏิเสธไม่ได้ว่า ในยุคแห่งเทคโนโลยีข้อมูลข่าวสาร
ที่ผู้คนแข่งกันรู้ให้ได้เร็วที่สุดไว้ก่อนนั้น ได้นำ�พาสังคมไปสู่
วิถีชีวิตที่เสพติดในความง่ายเร็วลัด ของขั้นตอนการเรียนรู้
โดยละทิ้งความถูกต้องตรงจริงในการรู้นั้นไว้เป็นอันดับรอง
ในแวดวงของชาวพุทธยุคใหม่ แม้ในส่วนที่มี
ปัญญาพอเห็นโทษภัยในทุกข์ มีจิตน้อมไปในการภาวนาแล้ว
ก็ยังไม่พ้นที่จะมีการพูดถึงเกี่ยวกับ มรรควิธีที่ง่าย ลัดสั้น
ปัญหามีอยู่… คือ การหมายรู้ ในคำว่า “ง่าย”
โดยในแง่ที่คนส่วนใหญ่เข้าใจนั้น มีความหมาย
ไม่ตรงกับรายละเอียดในมรรควิธีที่ง่าย ซึ่งบัญญัติโดย
พระตถาคต เมื่อนิยามตั้งต้นไม่ตรงกันเสียแล้ว จะต้อง
กล่าวไปไยในรายละเอียดอื่นๆ ที่ตามมา
เมื่อพูดถึงคำว่า “ง่าย” โดยทั่วไป มักจะถูกเข้าใจ
ในลักษณะว่า เป็นอะไรสักอย่างที่ได้มาโดยไม่มีขั้นตอนยาก
ได้มาโดยไม่ต้องลงแรง โดยไม่ต้องใช้ความพยายามมาก
ฉบับ ๔ มรรค วิธีที่ ง่าย 3
ใช้การขวนขวายน้อย ใช้ข้อมูลน้อย ใช้การใคร่ครวญน้อย
ใช้การกระทำน้อย …กระทั่งไม่ต้องทำอะไรเลย
ในขณะที่ปฏิปทา (วิธีการกระทำเพื่อให้ได้มา)
ที่นำไปสู่การบรรลุมรรคผล ซึ่งพระพุทธองค์ได้ทรงอธิบาย
ไว้นั้น ประกอบด้วยหลักการที่วางต่อกันอยู่ ๒ ส่วน คือ
๑. ส่วนของมรรควิธีที่เลือกมาใช้
ซึ่งเป็นตัวกำหนด ระดับความสบายในการปฏิบัติ
๒. ส่วนของเหตุในความเร็วช้าในการบรรลุ
ซึ่งแปรผันตามระดับความอ่อนแก่ของอินทรีย์ห้า
ในส่วนแรก คือ มรรควิธีที่เลือกมาใช้นั้น ทรงแบ่ง
ออกไว้เป็นสองแบบคือ ทุกขาปฏิปทา และ สุขาปฏิปทา
ทุกขาปฏิปทา คือมรรควิธีที่ไม่ได้สุขวิหารในขั้นตอนปฏิบัติ
เพราะเน้นการใช้ทุกข์เป็นเครื่องมือในการรู้แจ้งซึ่งอริยสัจ
ส่วนสุขาปฏิปทา คือการอาศัยสุขเป็นเครื่องมือในการรู้
ผู้ปฏิบัติจึงได้สุขวิหารไปด้วยในระหว่างปฏิบัติเพื่อสิ้นทุกข์
ในส่วนของเหตุที่บรรลุเร็วหรือช้านั้นคืออินทรีย์ห้า
(ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา)
4 พุ ท ธ ว จ น
ผู้มีศรัทธาในตถาคตมาก (อินทรีย์ คือ ศรัทธา)
ก็ย่อมจะเชื่อในพุทธปัญญาญาณ ย่อมจะศึกษา ทรงจำ
สั่งสมสุตะเฉพาะที่เป็นพุทธวจนไว้มาก จึงรู้แง่มุมของจิต
และวิธีการปฏิบัติที่ถูกต้องไว้มาก
บุคคลผู้มีปัญญาเห็นได้เร็ว (อินทรีย์ คือ ปัญญา)
เลือกหนทางที่สะดวก ก็ย่อมจะไปถึงจุดหมายได้เร็วกว่า
แม้รู้หนทางที่ถูกแล้ว แต่เพียรน้อย (อินทรีย์ คือ วิริยะ)
มิได้ปฏิบัติธรรมให้สมควรแก่ธรรม ฝึกสติน้อย ทิ้งสมาธิ
เหินห่างจากฌาน ก็ย่อมถึงที่หมายได้ช้า…ดังนี้ เป็นต้น
อีกทั้ง แง่มุมที่ควรให้ความสำคัญว่าเป็นมรรควิธี
ที่ง่ายคือ สิ่งที่พระตถาคตทรงแสดงสอนบ่อยๆ, บอก
ตรงๆ ว่าเป็นวิธีที่สะดวกต่อการเข้ามรรคผล, ทรงใช้บอก
สอนกับคนชราคนเจ็บป่วย ใกล้ตาย มีกำ�ลังน้อย มีเวลา
ในชีวิตเหลือน้อย คือ มรรควิธีที่ตรัสบอกถึงอานิสงส์ไว้
มากกว่ามรรควิธีอื่นๆ
ดังนั้น มรรควิธีที่ง่าย จึงไม่ใช่ว่า ง่าย ในแบบที่
เข้าใจกันว่าใช้ความพยายามน้อย ใช้การกระทำ�น้อย
ขวนขวายน้อยแต่ง่าย ตามเหตุปัจจัยอันสมควรแก่กรณีนั้นๆ
ฉบับ ๔ มรรค วิธีที่ ง่าย 5
ภายใต้ขีดจำกัดของสาวก ซึ่งพระพุทธองค์
ทรงยืนยันว่า แม้อรหันต์ผู้ปัญญาวิมุตติ ต่างก็เป็นได้เพียง
แค่มัคคานุคา (ผู้เดินตามมรรคมาทีหลัง) จึงไม่แปลกที่เรา
จะได้รู้ได้ฟังการอธิบายแจงแจกมรรควิธีที่ง่าย ตามแบบของ
สาวกในรูปแบบต่างๆ กันไป ซึ่งตรงกันบ้าง ไม่ตรงกันบ้าง
และไม่สามารถนำมาใช้อ้างอิงเป็นหลักมาตรฐานได้
หากเปรียบการบรรลุมรรคผล คือการถึงจุดหมาย
หนังสือเล่มนี้ คือ แผนที่ ซึ่งเขียนโดยมัคคโกวิโท (ผู้ฉลาดใน
มรรค คือพระตถาคต) และชาวพุทธต้องหันกลับมาใช้แผนที่
ฉบับถูกต้องนี้ เป็นมาตรฐานเดียวเหมือนครั้งพุทธกาล
คณะผ้จู ัดพิมพ์หนังสือเล่มนี้ ขอนอบน้อมสักการะ
ต่อ ตถาคต ผ้อู รหันตสัมมาสัมพุทธะ
และ ภิกษุสาวกในธรรมวินัยนี้
ตั้งแต่ครั้งพุทธกาล จนถึงยุคปัจจุบัน
ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการสืบทอดพุทธวจน
คือ ธรรม และวินัย ที่ทรงประกาศไว้ บริสุทธิ์บริบูรณ์ดีแล้ว
คณะศิษย์พระตถาคต
หัวข้อ: Re: พุทธวจนสวัสดี
เริ่มหัวข้อโดย: สายฝน ที่ วันที่ 23 พฤษภาคม 2013, 15:02:11 น.
8 พุ ท ธ ว จ น

ภพแม้ชั่วขณะดีดนิ้วมือก็ยังน่ารังเกียจ
ภิกษุทั้งหลาย !
คูถ แม้นิดเดียว
ก็เป็นของมีกลิ่นเหม็น ฉันใด,
ภิกษุทั้งหลาย !
สิ่งที่เรียกว่า ภพ (ผลแห่งภวตัณหา)
ก็ฉันนั้นเหมือนกัน,
แม้มีประมาณน้อย ชั่วลัดนิ้วมือเดียว
ก็ไม่มีคุณอะไรที่พอจะกล่าวได้.
เอก. อํ. ๒๐/๔๖/๒๐๓.
(ในสูตรถัดไป ได้ตรัสอุปมาด้วยมูตร ด้วยน้ำ
หัวข้อ: Re: พุทธวจนสวัสดี
เริ่มหัวข้อโดย: สายฝน ที่ วันที่ 23 พฤษภาคม 2013, 15:04:25 น.
ฉบับ ๔ มรรค วิธีที่ ง่าย 9

ผู้เข้าไปหา เป็นผู้ไม่หลุดพ้น
ผู้ไม่เข้าไปหา ย่อมเป็นผู้หลุดพ้น

ภิกษุทั้งหลาย ! ผู้เข้าไปหา เป็นผู้ไม่หลุดพ้น;
ผู้ไม่เข้าไปหา เป็นผู้หลุดพ้น.
ภิกษุทั้งหลาย ! วิญญาณ ซึ่ง เข้า ถือเอารูป ตั้งอยู่
ก็ตั้งอยู่ได้, เป็นวิญญาณที่มีรูปเป็นอารมณ์ มีรูปเป็น
ที่ตั้งอาศัย มีนันทิ (ความเพลิน) เป็นที่เข้าไปส้องเสพ
ก็ถึงความเจริญ งอกงาม ไพบูลย์ ได้;
ภิกษุทั้งหลาย ! วิญญาณ ซึ่ง เข้า ถือเอาเวทนา
ตั้งอยู่ ก็ตั้งอยู่ได้, เป็นวิญญาณที่มีเวทนาเป็นอารมณ์
มีเวทนาเป็นที่ตั้งอาศัย มีนันทิ เป็นที่เข้าไปส้องเสพ
ก็ถึงความเจริญ งอกงาม ไพบูลย์ ได้;
ภิกษุทั้งหลาย ! วิญญาณ ซึ่ง เข้า ถือเอาสัญญา
ตั้งอยู่ ก็ตั้งอยู่ได้, เป็นวิญญาณที่มีสัญญาเป็นอารมณ์
มีสัญญาเป็นที่ตั้งอาศัย มีนันทิ เป็นที่เข้าไปส้องเสพ
ก็ถึงความเจริญ งอกงาม ไพบูลย์ ได้;

10 พุ ท ธ ว จ น
ภิกษุทั้งหลาย ! วิญญาณ ซึ่ง เข้า ถือเอาสังขาร
ตั้งอยู่ ก็ตั้งอยู่ได้, เป็นวิญญาณที่มีสังขารเป็นอารมณ์
มีสังขารเป็นที่ตั้งอาศัย มีนันทิเป็นที่เข้าไปส้องเสพ
ก็ถึงความเจริญ งอกงาม ไพบูลย์ ได้.
ภิกษุทั้งหลาย ! ผู้ใดจะพึงกล่าวอย่างนี้ว่า
“เราจักบัญญัติ ซึ่งการมา การไป การจุติ การอุบัติ
ความเจริญ ความงอกงาม และความไพบูลย์ของวิญญาณ
โดยเว้นจากรูป เว้นจากเวทนา เว้นจากสัญญา และ
เว้นสังขาร” ดังนี้นั้น, นี่ ไม่ใช่ฐานะที่จักมีได้เลย.
ภิกษุทั้งหลาย ! ถ้าราคะในรูปธาตุ ในเวทนาธาตุ
ในสัญญาธาตุ ในสังขารธาตุ ในวิญญาณธาตุ เป็นสิ่งที่
ภิกษุละได้แล้ว;
เพราะละราคะได้ อารมณ์สำหรับวิญญาณ
ก็ขาดลง ที่ตั้งของวิญญาณก็ไม่มี.
วิญญาณอันไม่มีที่ตั้งนั้นก็ไม่งอกงาม หลุดพ้นไป
เพราะไม่ถูกปรุงแต่ง;

ฉบับ ๔ มรรค วิธีที่ ง่าย 11
เพราะหลุดพ้นไปก็ตั้งมั่น เพราะตั้งมั่นก็ยินดีใน
ตนเอง; เพราะยินดีในตนเองก็ไม่หวั่นไหว; เมื่อไม่หวั่นไหว
ก็ปรินิพพานเฉพาะตน;
ย่อมรู้ชัดว่า “ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว
กิจที่ควรทำได้ทำสำเร็จแล้ว กิจอื่นที่จะต้องทำเพื่อ
ความเป็นอย่างนี้ มิได้มีอีก” ดังนี้.
ขนฺธ. สํ. ๑๗/๖๖/๑๐๕.
หัวข้อ: Re: พุทธวจนสวัสดี
เริ่มหัวข้อโดย: สายฝน ที่ วันที่ 23 พฤษภาคม 2013, 15:11:46 น.
12 พุ ท ธ ว จ น

จิตมีตัณหา เรียกว่าอยู่สองคน
จิตไม่มีตัณหา เรียกว่าอยู่คนเดียว

“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! ด้วยเหตุเพียงเท่าไรหนอ ภิกษุ
จึงชื่อว่า เป็นผู้มีการอยู่อย่างมีเพื่อนสอง พระเจ้าข้า ?”.
มิคชาละ ! รูป ทั้งหลายอันจะพึงเห็นได้ด้วยจักษุ
อันเป็นรูปที่น่าปรารถนา น่ารักใคร่ น่าพอใจ มีลักษณะ
น่ารัก เป็นที่เข้าไปตั้งอาศัยอยู่แห่งความใคร่ เป็นที่ตั้งแห่ง
ความกำหนัดย้อมใจมีอยู่. ถ้าหากว่าภิกษุย่อมเพลิดเพลิน
พร่ำสรรเสริญ สยบมัวเมา ซึ่งรูปนั้นไซร้;
แก่ภิกษุผู้เพลิดเพลิน พรำ่สรรเสริญ สยบ มัวเมา
ซึ่งรูปนั้นอยู่ นั่นแหละ, นันทิ (ความเพลิน) ย่อมเกิดขึ้น.
เมื่อ นันทิ มีอยู่, สาราคะ (ความพอใจอย่างยิ่ง)
ย่อมมี;
เมื่อ สาราคะ มีอยู่, สัญโญคะ (ความผูกจิตติดกับ
อารมณ์) ย่อมมี :

ฉบับ ๔ มรรค วิธีที่ ง่าย 13
มิคชาละ ! ภิกษุผู้ประกอบพร้อมแล้ว ด้วยการ
ผูกจิตติดกับอารมณ์ด้วยอำนาจแห่งความเพลิน นั่นแล
เราเรียกว่า “ผู้มีการอยู่อย่างมีเพื่อนสอง”.
(ในกรณีแห่งเสียงทั้งหลายอันจะพึงได้ยินด้วยหูก็ดี,
กลิ่นทั้งหลายอันจะพึงดมด้วยจมูกก็ดี, รสทั้งหลายอันจะพึงลิ้ม
ด้วยลิ้นก็ดี, โผฏฐัพพะทั้งหลายอันจะพึงสัมผัสด้วยผิวกายก็ดี, และ
ธรรมารมณ์ทั้งหลายอันจะพึงรู้แจ้งด้วยใจก็ดี, พระผู้มีพระภาคเจ้า
ได้ตรัสไว้มีนัยยะอย่างเดียวกันกับในกรณีแห่งรูปทั้งหลายอันจะพึง
เห็นด้วยจักษุ).
มิคชาละ ! ภิกษุผู้มีการอยู่ด้วยอาการอย่างนี้
แม้จะส้องเสพเสนาสนะอันเป็นป่าและป่าชัฏ ซึ่งเงียบสงัด
มีเสียงรบกวนน้อย มีเสียงกึกก้องครึกโครมน้อย ปราศจาก
ลมจากผิวกายคน เป็นที่ทำการลับของมนุษย์ เป็นที่สมควร
แก่การหลีกเร้น เช่นนี้แล้ว ก็ตาม, ถึงกระนั้น ภิกษุนั้น
เราก็ยังคงเรียกว่า ผู้มีการอยู่อย่างมีเพื่อนสองอยู่นั่นเอง.
ข้อนั้นเพราะเหตุไรเล่า ?
ข้อนั้นเพราะเหตุว่า ตัณหานั่นแล เป็นเพื่อนสอง
ของภิกษุนั้น; ตัณหานั้น อันภิกษุนั้น ยังละไม่ได้แล้ว

14 พุ ท ธ ว จ น
เพราะเหตุนั้น ภิกษุนั้น เราจึงเรียกว่า “ผู้มีการอยู่อย่าง
มีเพื่อนสอง” ดังนี้.
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! ด้วยเหตุเพียงเท่าไรหนอแล
ภิกษุจึงชื่อว่า เป็นผู้มีการอยู่อย่างอยู่ผู้เดียว พระเจ้าข้า ?”.
มิคชาละ ! รูป ทั้งหลายอันจะพึงเห็นได้ด้วยจักษุ
เป็นรูปที่น่าปรารถนา น่ารักใคร่ น่าพอใจ มีลักษณะน่ารัก
เป็นที่เข้าไปตั้งอาศัยอยู่แห่งความใคร่ เป็นที่ตั้งแห่งความ
กำหนัดย้อมใจ มีอยู่, ถ้าหากว่าภิกษุย่อมไม่เพลิดเพลิน
ไม่พร่ำสรรเสริญ ไม่สยบ มัวเมา ซึ่งรูปนั้นไซร้,
แก่ภิกษุผู้ไม่เพลิดเพลิน ไม่พรำ่สรรเสริญ ไม่สยบ
มัวเมา ซึ่งรูปนั้น นั่นแหละ, นันทิ (ความเพลิน) ย่อมดับ;
เมื่อ นันทิ ไม่มีอยู่, สาราคะ (ความพอใจอย่างยิ่ง)
ย่อมไม่มี;
เมื่อ สาราคะ ไม่มีอยู่, สัญโญคะ (ความผูกจิต
ติดกับอารมณ์) ย่อมไม่มี :
มิคชาละ ! ภิกษุผู้ ไม่ประกอบพร้อมแล้ว ด้วย
การผูกจิตติดกับอารมณ์ด้วยอำนาจแห่งความเพลิน
(นันทิ) นั่นแล เราเรียกว่า “ผู้มีการอยู่อย่างอยู่ผู้เดียว”.

ฉบับ ๔ มรรค วิธีที่ ง่าย 15
(ในกรณีแห่งเสียงทั้งหลายอันจะพึงได้ยินด้วยหูก็ดี,
กลิ่นทั้งหลายอันจะพึงดมด้วยจมูกก็ดี, รสทั้งหลายอันจะพึงลิ้ม
ด้วยลิ้นก็ดี, โผฏฐัพพะทั้งหลายอันจะพึงสัมผัสด้วยผิวกายก็ดี,
และธรรมารมณ์ทั้งหลายอันจะพึงรู้แจ้งด้วยใจก็ดี, พระผู้มี
พระภาคเจ้าได้ตรัสไว้มีนัยยะอย่างเดียวกันกับในกรณีแห่งรูป
ทั้งหลายอันจะพึงเห็นด้วยจักษุ).
มิคชาละ ! ภิกษุผู้มีการอยู่ด้วยอาการอย่างนี้ แม้
อยู่ในหมู่บ้าน อันเกลื่อนกล่นไปด้วยภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก
อุบาสิกาทั้งหลาย, ด้วยพระราชา มหาอำมาตย์ของพระ
ราชาทั้งหลาย, ด้วยเดียรถีย์ สาวกของเดียรถีย์ทั้งหลาย
ก็ตาม; ถึงกระนั้น ภิกษุนั้น เราก็เรียกว่า ผู้มีการอยู่อย่าง
อยู่ผู้เดียวโดยแท้.
ข้อนั้นเพราะเหตุไรเล่า ?
ข้อนั้นเพราะเหตุว่าตัณหานั่นแล เป็นเพื่อนสอง
ของภิกษุนั้น; ตัณหานั้น อันภิกษุนั้น ละเสียได้แล้ว
เพราะเหตุนั้น ภิกษุนั้น เราจึงเรียกว่า “ผู้มีการอยู่อย่าง
อยู่ผู้เดียว”, ดังนี้ แล.
สฬา. สํ. ๑๘/๔๓–๔๔/๖๖-๖๗.
หัวข้อ: Re: พุทธวจนสวัสดี
เริ่มหัวข้อโดย: สายฝน ที่ วันที่ 23 พฤษภาคม 2013, 15:15:28 น.
16 พุ ท ธ ว จ น

พรหมจรรย์นี้ อันบุคคลย่อมประพฤติ
เพื่อการละขาดซึ่งภพ

สัตว์โลกนี้ เกิดความเดือดร้อนแล้ว มีผัสสะ
บังหน้า ย่อมกล่าวซึ่งโรค (ความเสียดแทง) นั้น โดยความ
เป็นตัวเป็นตน.
เขาสำคัญสิ่งใด โดยความเป็นประการใด แต่สิ่งนั้น
ย่อมเป็น (ตามที่เป็นจริง) โดยประการอื่นจากที่เขาสำ�คัญนั้น.
สัตว์โลกติดข้องอยู่ในภพ ถูกภพบังหน้าแล้ว มีภพ
โดยความเป็นอย่างอื่น (จากที่มันเป็นอยู่จริง) จึงได้
เพลิดเพลินยิ่งนักในภพนั้น.
เขาเพลิดเพลินยิ่งนักในสิ่งใด สิ่งนั้นเป็นภัย
(ที่เขาไม่รู้จัก) : เขากลัวต่อสิ่งใด สิ่งนั้นก็เป็นทุกข์.
พรหมจรรย์นี้ อันบุคคลย่อมประพฤติ ก็เพื่อการ
ละขาดซึ่งภพ.

ฉบับ ๔ มรรค วิธีที่ ง่าย 17
สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใด กล่าวความ
หลุดพ้นจากภพว่า มีได้เพราะภพ; เรากล่าวว่า สมณะ
หรือพราหมณ์ทั้งปวงนั้น มิใช่ผู้หลุดพ้นจากภพ.
ถึงแม้สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใด กล่าวความออก
ไปได้จากภพว่า มีได้เพราะวิภพ (ไม่มีภพ) : เรากล่าวว่า
สมณะหรือพราหมณ์ทั้งปวงนั้น ก็ยังสลัดภพออกไปไม่ได้.
ก็ทุกข์นี้มีขึ้น
เพราะอาศัยซึ่งอุปธิทั้งปวง.
เพราะความสิ้นไปแห่งอุปาทานทั้งปวง
ความเกิดขึ้นแห่งทุกข์จึงไม่มี.
ท่านจงดูโลกนี้เถิด (จะเห็นว่า) สัตว์ทั้งหลายอัน
อวิชชา (ความไม่รู้) หนาแน่นบังหน้าแล้ว; และว่าสัตว์
ผู้ยินดีในภพอันเป็นแล้วนั้น ย่อมไม่เป็นผู้หลุดพ้นไป
จากภพได้ ก็ภพทั้งหลายเหล่าหนึ่งเหล่าใด อันเป็นไปใน
ที่หรือในเวลาทั้งปวง เพื่อความมีแห่งประโยชน์โดย
ประการทั้งปวง; ภพทั้งหลายทั้งหมดนั้น ไม่เที่ยง เป็นทุกข์
มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา.

18 พุ ท ธ ว จ น
เมื่อบุคคลเห็นอยู่ซึ่งข้อนั้น ด้วยปัญญาอันชอบ
ตามที่เป็นจริงอย่างนี้อยู่; เขาย่อมละภวตัณหา (ความอยากมี
อยากเป็น) ได้ และไม่เพลิดเพลินวิภวตัณหา (ความไม่อยาก)
ด้วย.
ความดับเพราะความสำรอกไม่เหลือ (แห่งภพ
ทั้งหลาย) เพราะความสิ้นไปแห่งตัณหาโดยประการทั้งปวง
นั้นคือนิพพาน.
ภพใหม่ย่อมไม่มีแก่ภิกษุนั้น ผู้ดับเย็นสนิทแล้ว
เพราะไม่มีความยึดมั่น.
ภิกษุนั้น เป็นผู้ครอบงำมารได้แล้ว ชนะสงคราม
แล้ว ก้าวล่วงภพทั้งหลายทั้งปวงได้แล้ว เป็นผู้คงที่
(คือไม่เปลี่ยนแปลงอีกต่อไป), ดังนี้ แล.
อุ. ขุ. ๒๕/๑๒๑-๑๒๓/๘๔.
หัวข้อ: Re: พุทธวจนสวัสดี
เริ่มหัวข้อโดย: สายฝน ที่ วันที่ 23 พฤษภาคม 2013, 15:19:49 น.
ฉบับ ๔ มรรค วิธีที่ ง่าย 19

สิ้นนันทิ สิ้นราคะ ก็สิ้นทุกข์

ภิกษุทั้งหลาย ! ภิกษุเห็นจักษุอันไม่เที่ยงนั่นแล
ว่าไม่เที่ยง ความเห็นเช่นนั้น เป็น สัมมาทิฏฐิ (การเห็นอยู่
โดยถูกต้อง) ของเธอนั้น.
เมื่อเห็นอยู่โดยถูกต้อง ย่อมเบื่อหน่าย
(สมฺมา ปสฺสํ นิพฺพินฺทติ);
เพราะความสิ้นไปแห่งนันทิ
จึงมีความสิ้นไปแห่งราคะ
(นนฺทิกฺขยา ราคกฺขโย);
เพราะความสิ้นไปแห่งราคะ
จึงมีความสิ้นไปแห่งนันทิ
(ราคกฺขยา นนฺทิกฺขโย);
เพราะความสิ้นไปแห่งนันทิและราคะ
กล่าวได้ว่า “จิตหลุดพ้นแล้วด้วยดี” ดังนี้.
(นนฺทิราคกฺขยา จิตฺตํ สุวิมุตฺตนฺติ วุจฺจติ).

20 พุ ท ธ ว จ น
(ในกรณีแห่งอายตนะภายในที่เหลืออีก ๕ คือ โสตะ ฆานะ ชิวหา
กายะ มโน และในกรณีแห่งอายตนะภายนอก ๖ คือ รูป เสียง กลิ่น รส
โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ ก็ตรัสอย่างเดียวกันกับในกรณีแห่งจักษุทุกประการ).
สฬา. สํ. ๑๘/๑๗๙/๒๔๕-๖.
หัวข้อ: Re: พุทธวจนสวัสดี
เริ่มหัวข้อโดย: สายฝน ที่ วันที่ 23 พฤษภาคม 2013, 15:21:23 น.
ฉบับ ๔ มรรค วิธีที่ ง่าย 21

ความดับทุกข์มี เพราะความดับไป
แห่งความเพลิน (นันทิ)

ปุณณะ ! รูป ที่เห็นด้วย ตา ก็ดี, เสียง ที่ฟังด้วย หู
ก็ดี, กลิ่น ที่ดมด้วย จมูก ก็ดี, รส ที่ลิ้ม ด้วย ลิ้น ก็ดี,
โผฏฐัพพะ ที่สัมผัสด้วย กาย ก็ดี, ธรรมารมณ์ ที่รู้แจ้ง
ด้วย ใจ ก็ดี, อันเป็นสิ่งที่น่าปรารถนา น่ารักใคร่ น่าพอใจ
เป็นที่ยวนตายวนใจให้รัก เป็นที่เข้าไปตั้งอาศัยอยู่แห่ง
ความใคร่ เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัดย้อมใจ มีอยู่;
ภิกษุย่อมไม่เพลิดเพลิน ไม่พรำ่สรรเสริญ ไม่เมาหมก
ซึ่งอารมณ์ มีรูปเป็นต้นนั้น. เมื่อภิกษุไม่เพลิดเพลิน ไม่พรำ่�
สรรเสริญ ไม่เมาหมก ซึ่งอารมณ์ มีรูปเป็นต้นนั้นอยู่,
นันทิ (ความเพลิน) ย่อมดับไป.
ปุณณะ ! เรากล่าวว่า “ความดับไม่มีเหลือ
ของทุกข์มีได้ เพราะความดับไม่เหลือของความเพลิน”
ดังนี้ แล.
อุปริ. ม. ๑๔/๔๘๑/๗๕๖.

หัวข้อ: Re: พุทธวจนสวัสดี
เริ่มหัวข้อโดย: สายฝน ที่ วันที่ 24 พฤษภาคม 2013, 06:52:25 น.
24 พุ ท ธ ว จ น

        กายคตาสติ
เป็นเสาหลักเสาเขื่อนอย่างดีของจิต
ลักษณะของผู้ไูม่ตั้งจิตในกายคตาสติ

ภิกษุทั้งหลาย ! เปรียบเหมือนบุรุษจับสัตว์
หกชนิด อันมีที่อยู่อาศัยต่างกัน มีที่เที่ยวหากินต่างกัน
มาผูกรวมกันด้วยเชือกอันมั่นคง; คือเขาจับงูมาผูกด้วย
เชือกเหนียวเส้นหนึ่ง, จับจระเข้, จับนก, จับสุนัขบ้าน,
จับสุนัขจิ้งจอก, จับลิง มาผูกด้วยเชือกเหนียวเส้นหนึ่งๆ
แล้วผูกรวมเข้าด้วยกันเป็นปมเดียวในท่ามกลาง ปล่อยแล้ว.
ภิกษุทั้งหลาย ! ครั้งนั้น สัตว์เหล่านั้นทั้งหกชนิด
อันมีที่อาศัยและที่เที่ยวต่างๆ กัน ก็ยื้อแย่งฉุดดึงกันเพื่อ
จะไปสู่ที่อาศัยที่เที่ยวของตนๆ : งูจะเข้า จอมปลวก,
จระเข้จะลงนำ้, นกจะบินขึ้นไปในอากาศ, สุนัขจะเข้า บ้า น,
สุนัขจิ้งจอกจะไปป่าช้า , ลิงก็จะไปป่า. ครั้นเหนื่อยล้ากัน
ทั้งหกสัตว์แล้ว สัตว์ใดมีกำลังกว่า สัตว์นอกนั้นก็ต้องถูกลาก
ติดตามไปตามอำนาจของสัตว์นั้น ข้อนี้ฉันใด;

ฉบับ ๔ มรรค วิธีที่ ง่าย 25
ภิกษุทั้งหลาย ! ภิกษุใด ไม่อบรมทำให้มาก
ในกายคตาสติแล้ว ตา ก็จะฉุดเอาภิกษุนั้นไปหารูป
ที่น่าพอใจ, รูปที่ไม่น่าพอใจก็กลายเป็นสิ่งที่เธอรู้สึกอึดอัด
ขยะแขยง; หู ก็จะฉุดเอาภิกษุนั้นไปหาเสียงที่น่าฟัง,
เสียงที่ไม่น่าฟังก็กลายเป็นสิ่งที่เธอรู้สึกอึดอัดขยะแขยง;
จมูก ก็จะฉุดเอาภิกษุนั้นไปหากลิ่นที่น่าสูดดม, กลิ่นที่
ไม่น่าสูดดมก็กลายเป็นสิ่งที่เธอรู้สึกอึดอัดขยะแขยง;
ลิ้น ก็จะฉุดเอาภิกษุนั้นไปหารสที่ชอบใจ, รสที่ไม่ชอบใจ
ก็กลายเป็นสิ่งที่เธอรู้สึกอึดอัดขยะแขยง; กาย ก็จะฉุดเอา
ภิกษุนั้นไปหาสัมผัสที่ยั่วยวนใจ, สัมผัสที่ไม่ยั่วยวนใจก็
กลายเป็นสิ่งที่เธอรู้สึกอึดอัดขยะแขยง; และ ใจ ก็จะฉุด
เอาภิกษุนั้น ไปหาธรรมารมณ์ที่ถูกใจ, ธรรมารมณ์ที่
ไม่ถูกใจก็กลายเป็นสิ่งที่เธอรู้สึกอึดอัดขยะแขยง; ข้อนี้
ก็ฉันนั้นเหมือนกัน.
หัวข้อ: Re: พุทธวจนสวัสดี
เริ่มหัวข้อโดย: สายฝน ที่ วันที่ 24 พฤษภาคม 2013, 06:59:15 น.
26 พุ ท ธ ว จ น
ลักษณะของผู้ตั้งจิตในกายคตาสติ

ภิกษุทั้งหลาย ! เปรียบเหมือนบุรุษจับสัตว์
หกชนิด อันมีที่อยู่อาศัยต่างกัน มีที่เที่ยวหากินต่างกัน
มาผูกรวมกันด้วยเชือกอันมั่นคง; คือเขาจับงูมาผูกด้วย
เชือกเหนียวเส้นหนึ่ง, จับจระเข้, จับนก, จับสุนัขบ้าน,
จับสุนัขจิ้งจอกและจับลิง มาผูกด้วยเชือกเหนียวเส้นหนึ่งๆ
ครั้นแล้ว นำไปผูกไว้กับเสาเขื่อนหรือ เสาหลักอีกต่อหนึ่ง.
ภิกษุทั้งหลาย ! ครั้งนั้น สัตว์ทั้งหกชนิดเหล่านั้น
อันมีที่อาศัยและที่เที่ยวต่างๆ กัน ก็ยื้อแย่งฉุดดึงกันเพื่อ
จะไปสู่ที่อาศัยที่เที่ยวของตนๆ : งูจะเข้าจอมปลวก,
จระเข้จะลงน้ำ, นกจะบินขึ้นไปในอากาศ, สุนัขจะเข้าบ้าน,
สุนัขจิ้งจอกจะไปป่าช้า, ลิงก็จะไปป่า.
ภิกษุทั้งหลาย ! ในกาลใดแล ความเป็นไปภายใน
ของสัตว์ทั้งหกชนิดเหล่านั้น มีแต่ความเมื่อยล้าแล้ว;
ในกาลนั้น มันทั้งหลายก็จะพึงเข้าไปยืนเจ่า นั่งเจ่า นอนเจ่า
อยู่ข้างเสาเขื่อนหรือเสาหลักนั้นเอง ข้อนี้ฉันใด;

ฉบับ ๔ มรรค วิธีที่ ง่าย 27
ภิกษุทั้งหลาย ! ภิกษุใดได้อบรมทำให้มาก
ในกายคตาสติแล้ว ตา ก็จะไม่ฉุดเอาภิกษุนั้นไปหารูปที่
น่าพอใจ, รูปที่ไม่น่าพอใจ ก็ไม่เป็นสิ่งที่เธอรู้สึกอึดอัด
ขยะแขยง; หู ก็จะไม่ฉุดเอาภิกษุนั้นไปหาเสียงที่น่าฟัง,
เสียงที่ไม่น่าฟัง ก็ไม่เป็นสิ่งที่เธอรู้สึกอึดอัดขยะแขยง;
จมูก ก็จะไม่ฉุดเอาภิกษุนั้นไปหากลิ่นที่น่าสูดดม, กลิ่นที่
ไม่น่าสูดดม ก็ไม่เป็นสิ่งที่เธอรู้สึกอึดอัดขยะแขยง; ลิ้น ก็
จะไม่ฉุดเอาภิกษุนั้นไปหารสที่ชอบใจ, รสที่ไม่ชอบใจ ก็
ไม่เป็นสิ่งที่เธอรู้สึกอึดอัดขยะแขยง; กาย ก็จะไม่ฉุดเอา
ภิกษุนั้นไปหาสัมผัสที่ยั่วยวนใจ, สัมผัสที่ไม่ยั่วยวนใจ ก็
ไม่เป็นสิ่งที่เธอรู้สึกอึดอัดขยะแขยง; และใจ ก็จะไม่ฉุดเอา
ภิกษุนั้นไปหาธรรมารมณ์ที่ถูกใจ, ธรรมารมณ์ที่ไม่ถูกใจ ก็
ไม่เป็นสิ่งที่เธอรู้สึกอึดอัดขยะแขยง; ข้อนี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน.
ภิกษุทั้งหลาย ! คำว่า “เสาเขื่อน หรือ เสาหลัก”
นี้เป็นคำเรียกแทนชื่อแห่ง กายคตาสติ.
ภิกษุทั้งหลาย ! เพราะฉะนั้น ในเรื่องนี้ พวกเธอ
ทั้งหลายพึงสำเหนียกใจไว้ว่า

28 พุ ท ธ ว จ น
“กายคตาสติของเราทั้งหลาย จักเป็นสิ่งที่เรา
อบรม กระทำให้มาก กระทำให้เป็นยานเครื่องนำไป
กระทำให้เป็นของที่อาศัยได้ เพียรตั้งไว้เนืองๆ เพียร
เสริมสร้างโดยรอบคอบ เพียรปรารภสม่ำเสมอด้วยดี”
ดังนี้.
ภิกษุทั้งหลาย ! พวกเธอทั้งหลาย พึงสำเหนียกใจไว้
ด้วยอาการอย่างนี้แล.
สฬา. สํ. ๑๘/๒๔๖,๒๔๘-๒๔๙/๓๔๘,๓๕๐.
หัวข้อ: Re: พุทธวจนสวัสดี
เริ่มหัวข้อโดย: สายฝน ที่ วันที่ 24 พฤษภาคม 2013, 07:03:11 น.
ฉบับ ๔ มรรค วิธีที่ ง่าย 29

กระดองของบรรพชิต

ภิกษุทั้งหลาย ! เรื่องเคยมีมาแต่ก่อน : เต่าตัวหนึ่ง
เที่ยวหากินตามริมลำธารในตอนเย็น, สุนัขจิ้งจอกตัวหนึ่ง
ก็เที่ยวหากินตามริมลำธารในตอนเย็นเช่นเดียวกัน เต่าตัวนี้
ได้เห็นสุนัขจิ้งจอกซึ่งเที่ยวหากิน (เดินเข้ามา) แต่ไกล, ครั้นแล้ว
จึงหดอวัยวะทั้งหลาย มีศีรษะเป็นที่ ๕ เข้าในกระดองของ
ตนเสีย เป็นผู้ขวนขวายน้อยนิ่งอยู่ แม้สุนัขจิ้งจอก
ก็ได้เห็นเต่าตัวที่เที่ยวหากินนั้นแต่ไกลเหมือนกัน, ครั้นแล้ว
จึงเดินตรงเข้าไปที่เต่า คอยช่องอยู่ว่า “เมื่อไรหนอเต่าจัก
โผล่อวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งออกในบรรดาอวัยวะทั้งหลาย
มีศีรษะเป็นที่ ๕ แล้ว จักกัดอวัยวะส่วนนั้น คร่าเอาออกมา
กินเสีย” ดังนี้. ภิกษุทั้งหลาย ! ตลอดเวลาที่เต่าไม่โผล่
อวัยวะออกมา สุนัขจิ้งจอกก็ไม่ได้โอกาสต้องหลีกไปเอง;
ภิกษุทั้งหลาย ! ฉันใดก็ฉันนั้น : มารผู้ใจบาป
ก็คอยช่องต่อพวกเธอทั้งหลาย ติดต่อไม่ขาดระยะอยู่
เหมือนกันว่า “ถ้าอย่างไร เราคงได้ช่อง ไม่ทางตาก็ทางหู
หรือทางจมูก หรือทางลิ้น หรือทางกาย หรือทางใจ”, ดังนี้.

30 พุ ท ธ ว จ น
ภิกษุทั้งหลาย ! เพราะฉะนั้น ในเรื่องนี้ พวกเธอ
ทั้งหลาย จงเป็นผู้คุ้มครองทวารในอินทรีย์ทั้งหลายอยู่เถิด;
ได้เห็นรูปด้วยตา, ได้ฟังเสียงด้วยหู, ได้ดมกลิ่นด้วยจมูก,
ได้ลิ้มรสด้วยลิ้น, ได้สัมผัสโผฏฐัพพะด้วยกาย, หรือได้รู้
ธรรมารมณ์ด้วยใจแล้ว จงอย่าได้ถือเอาโดยลักษณะที่
เป็นการรวบถือทั้งหมด, อย่าได้ถือเอาโดยลักษณะที่
เป็นการแยกถือเป็นส่วนๆ เลย, สิ่งที่เป็นบาปอกุศล คือ
อภิชฌา (โลภอยากได้ของเขา) และโทมนัส (ความเป็นทุกข์ใจ)
จะพึงไหลไปตามบุคคลผู้ไม่สำรวม ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
เพราะการไม่สำรวมอินทรีย์เหล่าใดเป็นเหตุ, พวกเธอทั้งหลาย
จงปฏิบัติเพื่อการปิดกั้นอินทรีย์นั้นไว้, พวกเธอทั้งหลาย
จงรักษาและถึงความสำรวม ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เถิด.
ภิกษุทั้งหลาย ! ในกาลใด พวกเธอทั้งหลาย
จักเป็นผู้คุ้มครองทวารในอินทรีย์ทั้งหลายอยู่; ในกาลนั้น
มารผู้ใจบาป จักไม่ได้ช่องแม้จากพวกเธอทั้งหลาย และ
จักต้องหลีกไปเอง, เหมือนสุนัขจิ้งจอกไม่ได้ช่องจากเต่า
ก็หลีกไปเอง ฉะนั้น.

ฉบับ ๔ มรรค วิธีที่ ง่าย 31
“เต่าหดอวัยวะไว้ในกระดอง ฉันใด,
ภิกษุ พึงตั้งมโนวิตก (ความตริตรึกทางใจ)
ไว้ในกระดอง ฉันนั้น,
เป็นผู้ที่ตัณหาและทิฏฐิไม่อิงอาศัยได้,
ไม่เบียดเบียนผู้อื่น,
ไม่กล่าวร้ายต่อใครทั้งหมด,
เป็นผู้ดับสนิทแล้ว” ดังนี้แล.
สฬา. สํ. ๑๘/๒๒๒-๒๒๓/๓๒๐-๓๒๑.
หัวข้อ: Re: พุทธวจนสวัสดี
เริ่มหัวข้อโดย: สายฝน ที่ วันที่ 24 พฤษภาคม 2013, 07:08:09 น.
32 พุ ท ธ ว จ น

ตั้งจิตในกายคตาสติ
เสมือนบุรุษผู้ถือหม้อน้ำมัน

ภิกษุทั้งหลาย ! เปรียบเหมือนหมู่มหาชน
ได้ทราบข่าวว่า มีนางงามในชนบทพึงประชุมกัน ก็นางงาม
ในชนบทนั้น น่าดูอย่างยิ่งในการฟ้อนรำ น่าดูอย่างยิ่ง
ในการขับร้อง หมู่มหาชนได้ทราบข่าวว่า นางงามในชนบท
จะฟ้อนรำ ขับร้อง พึงประชุมกันยิ่งขึ้นกว่าประมาณ
ครั้งนั้น บุรุษผู้อยากเป็นอยู่ ไม่อยากตาย ปรารถนา
ความสุข เกลียดทุกข์ พึงมากล่าวกะหมู่มหาชนนั้น
อย่างนี้ว่า
         “บุรุษผู้เจริญ ! ท่านพึงนำ ภาชนะน้ำ มันอันเต็มเปี่ยมนี้
ไปในระหว่างที่ประชุมใหญ่กับนางงามในชนบท และจักมีบุรุษเงื้อดาบ
ตามบุรุษผู้นำ หม้อน้ำ มันนั้นไปข้างหลังๆ บอกว่า ท่านจักทำ น้ำ มันนั้นหก
แม้หน่อยหนึ่งในที่ใด ศีรษะของท่านจักขาดตกลงไปในที่นั้นทีเดียว”.
ฉบับ ๔ มรรค วิธีที่ ง่าย 33
ภิกษุทั้งหลาย ! เธอทั้งหลายจะสำคัญความข้อนั้น
เป็นอย่างไร ? บุรุษผู้นั้นจะไม่ใส่ใจภาชนะน้ำมันโน้น
แล้วพึงประมาทในภายนอกเทียวหรือ.

         “ไม่เป็นอย่างนั้น พระเจ้าข้า !”.
ภิกษุทั้งหลาย ! เราทำอุปมานี้ เพื่อให้เข้าใจ
เนื้อความนี้ชัดขึ้น เนื้อความในข้อนี้มีอย่างนี้แล คำว่า
“ภาชนะนำ้มันอันเต็มเปี่ยม” เป็นชื่อของ “กายคตาสติ”.
ภิกษุทั้งหลาย ! เพราะเหตุนั้นในเรื่องนี้
เธอทั้งหลาย พึงทำการศึกษาอย่างนี้ว่า
กายคตาสติ จักเป็นของอันเราเจริญแล้ว กระทำ
ให้มากแล้ว กระทำให้เป็นดังยาน กระทำให้เป็นที่ตั้ง
กระทำไม่หยุด สั่งสมแล้ว ปรารภดีแล้ว.
ภิกษุทั้งหลาย !
เธอทั้งหลาย พึงทำการศึกษาอย่างนี้.

34 พุ ท ธ ว จ น
ภิกษุทั้งหลาย !
ชนเหล่าใด ไม่บริโภคกายคตาสติ
ชนเหล่านั้นชื่อว่า ย่อมไม่บริโภคอมตะ.
ภิกษุทั้งหลาย !
ชนเหล่าใด บริโภคกายคตาสติ
ชนเหล่านั้นชื่อว่า ย่อมบริโภคอมตะ.
ภิกษุทั้งหลาย !
ชนเหล่าใด ประมาทกายคตาสติ
ชนเหล่านั้นชื่อว่า ประมาทอมตะ.
ภิกษุทั้งหลาย !
ชนเหล่าใด ไม่ประมาทกายคตาสติ
ชนเหล่านั้นชื่อว่า ไม่ประมาทอมตะ ดังนี้ แล.
มหาวาร. สํ ๑๙/๒๒๖-๒๒๗/๗๖๔–๗๖๖.
เอก. อํ. ๒๐/๕๙/๒๓๕,๒๓๙.
หัวข้อ: Re: พุทธวจนสวัสดี
เริ่มหัวข้อโดย: สายฝน ที่ วันที่ 24 พฤษภาคม 2013, 07:11:58 น.
     
         อานาปานสติ
หัวข้อ: Re: พุทธวจนสวัสดี
เริ่มหัวข้อโดย: สายฝน ที่ วันที่ 24 พฤษภาคม 2013, 07:25:01 น.
36 พุ ท ธ ว จ น
๑๐
อานิสงส์สูงสุด
แห่งอานาปานสติ ๒ ประการ

     ภิกษุทั้งหลาย ! อานาปานสติอันบุคคลเจริญ
กระทำให้มากแล้ว ย่อมมีผลใหญ่ มีอานิสงส์ใหญ่
ก็อานาปานสติ อันบุคคลเจริญแล้วอย่างไร กระทำให้มาก
แล้วอย่างไร จึงมีผลใหญ่ มีอานิสงส์ใหญ่ ?
      ภิกษุทั้งหลาย ! ในกรณีนี้ ภิกษุไปแล้วสู่ป่า
หรือโคนไม้ หรือเรือนว่างก็ตาม นั่งคู้ขาเข้ามาโดยรอบ
ตั้งกายตรง ดำรงสติเฉพาะหน้า เธอนั้นมีสติหายใจเข้า
มีสติหายใจออก :
     เมื่อหายใจเข้า ยาว ก็รู้ชัดว่าเราหายใจเข้ายาว,
เมื่อหายใจออกยาว ก็รู้ชัดว่าเราหายใจออกยาว;
     เมื่อหายใจเข้า สั้น ก็รู้ชัดว่าเราหายใจเข้าสั้น,
เมื่อหายใจออกสั้น ก็รู้ชัดว่าเราหายใจออกสั้น;

ฉบับ ๔ มรรค วิธีที่ ง่าย 37
     เธอย่อมทำการฝึกหัดศึกษาว่า “เราเป็นผู้รู้พร้อม
เฉพาะซึ่งกายทั้งปวง (สพฺพกายปฏิสํเวที) หายใจเข้า”,
ว่า “เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งกายทั้งปวง หายใจออก”;
     เธอย่อมทำการฝึกหัดศึกษาว่า “เราเป็นผู้ทำ
กายสังขารให้รำงับ (ปสฺสมฺภยํ กายสงฺขารํ) หายใจเข้า”,
ว่า “เราเป็นผู้ทำกายสังขารให้รำงับ หายใจออก”;
     เธอย่อมทำการฝึกหัดศึกษาว่า “เราเป็นผู้รู้พร้อม
เฉพาะซึ่งปีติ (ปีติปฏิสํเวที) หายใจเข้า”, ว่า “เราเป็นผู้รู้
พร้อมเฉพาะซึ่งปีติ หายใจออก”;
     เธอย่อมทำการฝึกหัดศึกษาว่า “เราเป็นผู้รู้พร้อม
เฉพาะซึ่งสุข (สุขปฏิสํเวที) หายใจเข้า”, ว่า “เราเป็นผู้รู้
พร้อมเฉพาะซึ่งสุข หายใจออก”;
     เธอย่อมทำการฝึกหัดศึกษาว่า “เราเป็นผู้รู้พร้อม
เฉพาะซึ่งจิตตสังขาร (จิตฺตสงฺขารปฏิสํเวที) หายใจเข้า”,
ว่า “เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งจิตตสังขาร หายใจออก”;
     เธอย่อมทำการฝึกหัดศึกษาว่า “เราเป็นผู้ทำ
จิตตสังขารให้รำงับ (ปสฺสมฺภยํ จิตฺตสงฺขารํ) หายใจเข้า”,
ว่า “เราเป็นผู้ทำจิตตสังขารให้รำงับ หายใจออก”;

38 พุ ท ธ ว จ น
     เธอย่อมทำการฝึกหัดศึกษาว่า “เราเป็นผู้รู้พร้อม
เฉพาะซึ่งจิต (จิตฺตปฏิสํเวที) หายใจเข้า”, ว่า “เราเป็นผู้รู้
พร้อมเฉพาะซึ่งจิต หายใจออก”;
     เธอย่อมทำการฝึกหัดศึกษาว่า “เราเป็นผู้ทำจิต
ให้ปราโมทย์ยิ่ง (อภิปฺปโมทยํ จิตฺตํ) หายใจเข้า”, ว่า
“เราเป็นผู้ทำจิตให้ปราโมทย์ยิ่ง หายใจออก”;
     เธอย่อมทำการฝึกหัดศึกษาว่า “เราเป็นผู้ทำจิต
ให้ตั้งมั่น (สมาทหํ จิตฺตํ) หายใจเข้า”, ว่า “เราเป็นผู้ทำจิต
ให้ตั้งมั่น หายใจออก”;
     เธอย่อมทำการฝึกหัดศึกษาว่า “เราเป็นผู้ทำจิต
ให้ปล่อยอยู่ (วิโมจยํ จิตฺตํ) หายใจเข้า”, ว่า “เราเป็นผู้ทำ
จิตให้ปล่อยอยู่ หายใจออก”;
     เธอย่อมทำการฝึกหัดศึกษาว่า “เราเป็นผู้เห็นซึ่ง
ความไม่เที่ยงอยู่เป็นประจำ (อนิจฺจานุปสฺสี) หายใจเข้า”, ว่า
“เราเป็นผู้เห็นซึ่งความไม่เที่ยงอยู่เป็นประจำ หายใจออก”;
     เธอย่อมทำการฝึกหัดศึกษาว่า “เราเป็นผู้เห็นซึ่ง
ความจางคลายอยู่เป็นประจำ (วิราคานุปสฺสี) หายใจเข้า”, ว่า
“เราเป็นผู้เห็นซึ่งความจางคลายอยู่เป็นประจำ หายใจออก”;

ฉบับ ๔ มรรค วิธีที่ ง่าย 39
     เธอย่อมทำการฝึกหัดศึกษาว่า “เราเป็นผู้เห็นซึ่ง
ความดับไม่เหลืออยู่เป็นประจำ (นิโรธานุปสฺสี) หายใจเข้า”, ว่า
“เราเป็นผู้เห็นซึ่งความดับไม่เหลืออยู่เป็นประจำ� หายใจออก”;
     เธอย่อมทำการฝึกหัดศึกษาว่า “เราเป็นผู้เห็นซึ่ง
ความสลัดคืนอยู่เป็นประจำ (ปฏินิสฺสคฺคานุปสฺสี) หายใจเข้า”,
ว่า “เราเป็นผู้เห็นซึ่งความสลัดคืนอยู่เป็นประจำ� หายใจออก”;
ภิกษุทั้งหลาย ! อานาปานสติ อันบุคคลเจริญแล้ว
กระทำให้มากแล้ว อย่างนี้แล ย่อมมีผลใหญ่ มีอานิสงส์ใหญ่.
ภิกษุทั้งหลาย ! เมื่ออานาปานสติ อันบุคคลเจริญ
ทำให้มากแล้วอยู่อย่างนี้ ผลอานิสงส์อย่างใดอย่างหนึ่ง
ในบรรดาผล ๒ ประการ เป็นสิ่งที่หวังได้;
      คือ อรหัตตผลในปัจจุบัน
หรือว่าถ้ายังมีอุปาทิเหลืออยู่ ก็จักเป็น อนาคามี.
มหาวาร. สํ. ๑๙/๓๙๖-๓๙๗/๑๓๑๑-๑๓๑๓.
หัวข้อ: Re: พุทธวจนสวัสดี
เริ่มหัวข้อโดย: สายฝน ที่ วันที่ 24 พฤษภาคม 2013, 07:28:50 น.
40 พุ ท ธ ว จ น
๑๑
เจริญอานาปานสติ เป็นเหตุให้
สติปัฏฐาน ๔ โพชฌงค์ ๗
วิชชาและวิมุตติบริบูรณ์

ภิกษุทั้งหลาย ! ธรรมอันเอกนั้นมีอยู่ ซึ่งเมื่อ
บุคคลเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมทำธรรมทั้ง ๔ ให้
บริบูรณ์; ครั้นธรรมทั้ง ๔ นั้น อันบุคคลเจริญแล้ว ทำให้มาก
แล้ว ย่อมทำธรรมทั้ง ๗ ให้บริบูรณ์; ครั้นธรรมทั้ง ๗ นั้น
อันบุคคลเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมทำธรรมทั้ง ๒
ให้บริบูรณ์ได้.
             ภิกษุทั้งหลาย ! อานาปานสติสมาธินี้แล เป็น
ธรรมอันเอก ซึ่งเมื่อบุคคลเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว
ย่อมทำสติปัฏฐานทั้ง ๔ ให้บริบูรณ์; สติปัฏฐานทั้ง ๔
อันบุคคลเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมทำโพชฌงคทั้ง ๗
ให้บริบูรณ์; โพชฌงค์ทั้ง ๗ อันบุคคลเจริญแล้ว ทำให้
มากแล้ว ย่อมทำวิชชาและวิมุตติให้บริบูรณ์ได้.
หัวข้อ: Re: พุทธวจนสวัสดี
เริ่มหัวข้อโดย: sriAROON ที่ วันที่ 24 พฤษภาคม 2013, 07:35:45 น.
ผมอ่านจบหลายๆๆๆรอบแล้ว ซึ้งมากครับ
หัวข้อ: Re: พุทธวจนสวัสดี
เริ่มหัวข้อโดย: อยู่ไกลเมืองสยาม ที่ วันที่ 24 พฤษภาคม 2013, 07:45:25 น.
 :thank1:
หัวข้อ: Re: พุทธวจนสวัสดี
เริ่มหัวข้อโดย: mds 53 ที่ วันที่ 24 พฤษภาคม 2013, 07:48:24 น.
โอ๊ยอ่านแล้วไม่เข้าครับปัญญาผมไม่ถึงจริงๆ
ผมรู้แต่ว่า  84000 พระธรรมขันธ์ ย่อให้เหลือข้อเดียว ( คือ " สติ " )
พระพุทธเจ้าตรัทไว้ว่า  "ใช้ชีวิตอย่างไม่ประมาท และขาดสติ"  
หัวข้อ: Re: พุทธวจนสวัสดี
เริ่มหัวข้อโดย: ขลุ่ย ที่ วันที่ 24 พฤษภาคม 2013, 07:53:21 น.
ดีใจด้วยน้องฝน ที่จะละกิเลส มาบวชเรียน สาธุ
หัวข้อ: Re: พุทธวจนสวัสดี
เริ่มหัวข้อโดย: สายฝน ที่ วันที่ 24 พฤษภาคม 2013, 07:53:52 น.
ฉบับ ๔ มรรค วิธีที่ ง่าย 41
อานาปานสติบริบูรณ์
ย่อมทำสติปัฏฐานให้บริบูรณ์

      ภิกษุทั้งหลาย ! ก็อานาปานสติ อันบุคคลเจริญ
แล้ว ทำให้มากแล้วอย่างไรเล่า จึงทำสติปัฏฐานทั้ง ๔
ให้บริบูรณ์ได้ ?
      ภิกษุทั้งหลาย ! สมัยใด ภิกษุ
      เมื่อหายใจเข้า ยาว ก็รู้ชัดว่าเราหายใจเข้ายาว,
เมื่อหายใจออกยาว ก็รู้ชัดว่าเราหายใจออกยาว;
      เมื่อหายใจเข้า สั้น ก็รู้ชัดว่าเราหายใจเข้าสั้น,
เมื่อหายใจออกสั้น ก็รู้ชัดว่าเราหายใจออกสั้น;
      ย่อมทำการฝึกหัดศึกษาว่า “เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะ
ซึ่งกายทั้งปวง หายใจเข้า”, ว่า “เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะ
ซึ่งกายทั้งปวง หายใจออก”;
      ย่อมทำการฝึกหัดศึกษาว่า “เราเป็นผู้ทำกายสังขาร
ให้รำงับ หายใจเข้า”, ว่า “เราเป็นผู้ทำกายสังขารให้รำ�งับ
หายใจออก”;

42 พุ ท ธ ว จ น
       ภิกษุทั้งหลาย ! สมัยนั้น ภิกษุนั้นชื่อว่า เป็น
ผู้เห็นกายในกายอยู่เป็นประจำ มีความเพียรเผากิเลส
มีสัมปชัญญะ มีสติ นำอภิชฌาและโทมนัสในโลกออกเสียได้.
ภิกษุทั้งหลาย ! เราย่อมกล่าวลมหายใจเข้า และ
ลมหายใจออก ว่าเป็นกายอันหนึ่งๆ ในกายทั้งหลาย.
       ภิกษุทั้งหลาย ! เพราะเหตุนั้นในเรื่องนี้ ภิกษุนั้น
ย่อมชื่อว่าเป็นผู้เห็นกายในกายอยู่เป็นประจำ มีความเพียร
เผากิเลส มีสัมปชัญญะ มีสติ นำอภิชฌาและโทมนัสในโลก
ออกเสียได้.
       ภิกษุทั้งหลาย ! สมัยใด ภิกษุ
       ย่อมทำการฝึกหัดศึกษาว่า “เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะ
ซึ่งปีติ หายใจเข้า”, ว่า “เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งปีติ
หายใจออก”;
       ย่อมทำการฝึกหัดศึกษาว่า “เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะ
ซึ่งสุข หายใจเข้า”, ว่า “เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งสุข
หายใจออก”;

ฉบับ ๔ มรรค วิธีที่ ง่าย 43
      ย่อมทำการฝึกหัดศึกษาว่า “เราเป็นผู้รู้พร้อม
เฉพาะซึ่งจิตตสังขาร หายใจเข้า”, ว่า “เราเป็นผู้รู้พร้อม
เฉพาะซึ่งจิตตสังขาร หายใจออก”;
      ย่อมทำการฝึกหัดศึกษาว่า “เราเป็นผู้ทำ
จิตตสังขารให้รำงับ หายใจเข้า”, ว่า “เราเป็นผู้ทำ
จิตตสังขารให้รำงับ หายใจออก”;
       ภิกษุทั้งหลาย ! สมัยนั้น ภิกษุนั้นชื่อว่า เป็นผู้
เห็นเวทนาในเวทนาทั้งหลายอยู่เป็นประจำ มีความเพียร
เผากิเลส มีสัมปชัญญะ มีสติ นำอภิชฌาและโทมนัสในโลก
ออกเสียได้.
      ภิกษุทั้งหลาย ! เราย่อมกล่าว การทำในใจเป็น
อย่างดีต่อลมหายใจเข้า และลมหายใจออก ว่าเป็น
เวทนาอันหนึ่งๆ ในเวทนาทั้งหลาย.
      ภิกษุทั้งหลาย ! เพราะเหตุนั้นในเรื่องนี้ ภิกษุนั้น
ย่อมชื่อว่าเป็นผู้เห็นเวทนาในเวทนาทั้งหลายอยู่เป็นประจำ
มีความเพียรเผากิเลส มีสัมปชัญญะ มีสติ นำอภิชฌาและ
โทมนัสในโลกออกเสียได้.

44 พุ ท ธ ว จ น
ภิกษุทั้งหลาย ! สมัยใด ภิกษุ
      ย่อมทำการฝึกหัดศึกษาว่า “เราเป็นผู้รู้พร้อม
เฉพาะซึ่งจิต หายใจเข้า”, ว่า “เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งจิต
หายใจออก”;
      ย่อมทำการฝึกหัดศึกษาว่า “เราเป็นผู้ทำจิตให้
ปราโมทย์ยิ่ง หายใจเข้า”, ว่า “เราเป็นผู้ทำจิตให้ปราโมทย์ยิ่ง
หายใจออก”;
      ย่อมทำการฝึกหัดศึกษาว่า “เราเป็นผู้ทำจิตให้
ตั้งมั่น หายใจเข้า”, ว่า “เราเป็นผู้ทำจิตให้ตั้งมั่น หายใจออก”;
      ย่อมทำการฝึกหัดศึกษาว่า “เราเป็นผู้ทำจิตให้
ปล่อยอยู่ หายใจเข้า”, ว่า “เราเป็นผู้ทำจิตให้ปล่อยอยู่
หายใจออก”;
        ภิกษุทั้งหลาย ! สมัยนั้น ภิกษุนั้นชื่อว่า เป็นผู้เห็น
จิตในจิตอยู่เป็นประจำ มีความเพียรเผากิเลส มีสัมปชัญญะ
มีสติ นำอภิชฌาและโทมนัสในโลกออกเสียได้.
ภิกษุทั้งหลาย ! เราไม่กล่าวอานาปานสติ ว่าเป็น
สิ่งที่มีได้แก่บุคคลผู้มีสติอันลืมหลงแล้ว ไม่มีสัมปชัญญะ.

ฉบับ ๔ มรรค วิธีที่ ง่าย 45
        ภิกษุทั้งหลาย ! เพราะเหตุนั้นในเรื่องนี้ ภิกษุนั้น
ย่อมชื่อว่าเป็นผู้เห็นจิตในจิตอยู่เป็นประจำ มีความเพียร
เผากิเลส มีสัมปชัญญะ มีสติ นำอภิชฌาและโทมนัส
ในโลกออกเสียได้.
       ภิกษุทั้งหลาย ! สมัยใด ภิกษุ
     ย่อมทำการฝึกหัดศึกษาว่า “เราเป็นผู้เห็นซึ่ง
ความไม่เที่ยงอยู่เป็นประจำ หายใจเข้า”, ว่า “เราเป็น
ผู้เห็นซึ่งความไม่เที่ยงอยู่เป็นประจำ หายใจออก”;
     ย่อมทำการฝึกหัดศึกษาว่า “เราเป็นผู้เห็นซึ่ง
ความจางคลายอยู่เป็นประจำ หายใจเข้า”, ว่า “เราเป็น
ผู้เห็นซึ่งความจางคลายอยู่เป็นประจำ หายใจออก”;
     ย่อมทำการฝึกหัดศึกษาว่า “เราเป็นผู้เห็นซึ่ง
ความดับไม่เหลืออยู่เป็นประจำ หายใจเข้า”, ว่า “เราเป็น
ผู้เห็นซึ่งความดับไม่เหลืออยู่เป็นประจำ หายใจออก”;
     ย่อมทำการฝึกหัดศึกษาว่า “เราเป็นผู้เห็นซึ่ง
ความสลัดคืนอยู่เป็นประจำ หายใจเข้า”, ว่า “เราเป็น
ผู้เห็นซึ่งความสลัดคืนอยู่เป็นประจำ หายใจออก”;

46 พุ ท ธ ว จ น
        ภิกษุทั้งหลาย ! สมัยนั้น ภิกษุนั้นชื่อว่า เป็นผู้
เห็นธรรมในธรรมทั้งหลายอยู่เป็นประจำ มีความเพียร
เผากิเลส มีสัมปชัญญะ มีสติ นำอภิชฌาและโทมนัส
ในโลกออกเสียได้.
        ภิกษุทั้งหลาย ! ภิกษุนั้น เป็นผู้เข้า ไปเพ่งเฉพาะ
เป็นอย่างดีแล้ว เพราะเธอเห็นการละอภิชฌาและ
โทมนัสทั้งหลายของเธอนั้นด้วยปัญญา.
ภิกษุทั้งหลาย ! เพราะเหตุนั้นในเรื่องนี้ ภิกษุนั้น
        ย่อมชื่อว่าเป็นผู้เห็นธรรมในธรรมทั้งหลายอยู่เป็นประจำ
มีความเพียรเผากิเลส มีสัมปชัญญะ มีสติ นำอภิชฌาและ
โทมนัสในโลกออกเสียได้.
         ภิกษุทั้งหลาย ! อานาปานสติ อันบุคคลเจริญแล้ว
ทำให้มากแล้ว อย่างนี้แล ย่อมทำสติปัฏฐานทั้ง ๔
ให้บริบูรณ์ได้.
หัวข้อ: Re: พุทธวจนสวัสดี
เริ่มหัวข้อโดย: ขลุ่ย ที่ วันที่ 24 พฤษภาคม 2013, 07:56:10 น.
บวชเรียนไปด้วย ทางธรรม แล้วไม่ต้องศึกออกมา สุดยอด
หัวข้อ: Re: พุทธวจนสวัสดี
เริ่มหัวข้อโดย: สายฝน ที่ วันที่ 24 พฤษภาคม 2013, 08:01:51 น.
ฉบับ ๔ มรรค วิธีที่ ง่าย 47
สติปัฏฐานบริบูรณ์
ย่อมทำโพชฌงค์ให้บริบูรณ์

ภิกษุทั้งหลาย ! ก็สติปัฏฐานทั้ง ๔ อันบุคคล
เจริญแล้ว ทำให้มากแล้วอย่างไรเล่า จึงทำโพชฌงค์ทั้ง ๗
ให้บริบูรณ์ได้ ?
      ภิกษุทั้งหลาย ! สมัยใด ภิกษุเป็นผู้เห็นกายในกาย
อยู่เป็นประจำก็ดี; เป็นผู้เห็นเวทนาในเวทนาทั้งหลาย
อยู่เป็นประจำก็ดี; เป็นผู้เห็นจิตในจิตอยู่เป็นประจำก็ดี;
เป็นผู้เห็นธรรมในธรรมทั้งหลายอยู่เป็นประจำก็ดี; มี
ความเพียรเผากิเลส มีสัมปชัญญะ มีสติ นำอภิชฌาและ
โทมนัสในโลกออกเสียได้; สมัยนั้นสติที่ภิกษุเข้า ไปตั้งไว้แล้ว
ก็เป็นธรรมชาติไม่ลืมหลง.
      ภิกษุทั้งหลาย ! สมัยใด สติของภิกษุผู้เข้าไปตั้ง
ไว้แล้ว เป็นธรรมชาติไม่ลืมหลง, สมัยนั้น สติสัมโพชฌงค์
ก็เป็นอันว่าภิกษุนั้นปรารภแล้ว; สมัยนั้นภิกษุชื่อว่า
ย่อมเจริญสติสัมโพชฌงค์; สมัยนั้นสติสัมโพชฌงค์ของ
ภิกษุนั้น ชื่อว่าถึงความเต็มรอบแห่งการเจริญ; ภิกษุนั้น

48 พุ ท ธ ว จ น
เมื่อเป็นผู้มีสติเช่นนั้นอยู่ ชื่อว่าย่อมทำการเลือก ย่อมทำ
การเฟ้น ย่อมทำการใคร่ครวญ ซึ่งธรรมนั้นด้วยปัญญา.

      ภิกษุทั้งหลาย ! สมัยใด ภิกษุเป็นผู้มีสติเช่นนั้นอยู่
ทำการเลือกเฟ้น ใคร่ครวญธรรมนั้นอยู่ด้วยปัญญา, สมัยนั้น
ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ ก็เป็นอันว่าภิกษุนั้นปรารภแล้ว,
สมัยนั้นภิกษุชื่อว่าย่อมเจริญธัมมวิจยสัมโพชฌงค์, สมัยนั้น
ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ของภิกษุชื่อว่าถึงความเต็มรอบแห่ง
การเจริญ. ภิกษุนั้น เมื่อเลือกเฟ้น ใคร่ครวญอยู่ซึ่งธรรม
นั้นด้วยปัญญา ความเพียรอันไม่ย่อหย่อน ชื่อว่าเป็น
ธรรมอันภิกษุนั้นปรารภแล้ว.
      ภิกษุทั้งหลาย ! สมัยใด ความเพียรไม่ย่อหย่อน
อันภิกษุผู้เลือกเฟ้น ใคร่ครวญในธรรมนั้นด้วยปัญญา,
สมัยนั้น วิริยสัมโพชฌงค์ ก็เป็นอันว่าภิกษุนั้นปรารภแล้ว,
สมัยนั้นภิกษุชื่อว่าย่อมเจริญวิริยสัมโพชฌงค์, สมัยนั้น
วิริยสัมโพชฌงค์ของภิกษุชื่อว่าถึงความเต็มรอบแห่งการเจริญ.
ภิกษุนั้น เมื่อมีความเพียรอันปรารภแล้ว ปีติอันเป็นนิรามิส
ก็เกิดขึ้น.

ฉบับ ๔ มรรค วิธีที่ ง่าย 49
      ภิกษุทั้งหลาย ! สมัยใด ปีติอันเป็นนิรามิส เกิดขึ้น
แก่ภิกษุผู้มีความเพียรอันปรารภแล้ว, สมัยนั้น ปีติสัมโพชฌงค์
ก็เป็นอันว่าภิกษุนั้นปรารภแล้ว, สมัยนั้น ภิกษุชื่อว่าย่อม
เจริญปีติสัมโพชฌงค์, สมัยนั้นปีติสัมโพชฌงค์ของภิกษุ
ชื่อว่าถึงความเต็มรอบแห่งการเจริญ. ภิกษุนั้น เมื่อมีใจ
ประกอบด้วยปีติ แม้กายก็รำงับ แม้จิตก็รำงับ.
       ภิกษุทั้งหลาย ! สมัยใด ทั้งกายและทั้งจิต
ของภิกษุผู้มีใจประกอบด้วยปีติ ย่อมรำ�งับ, สมัยนั้น
ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ ก็เป็นอันว่าภิกษุนั้นปรารภแล้ว,
สมัยนั้นภิกษุชื่อว่าย่อมเจริญปัสสัทธิสัมโพชฌงค์, สมัยนั้น
ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ของภิกษุชื่อว่าถึงความเต็มรอบแห่ง
การเจริญ. ภิกษุนั้น เมื่อเลือกเฟ้น ใคร่ครวญอยู่ซึ่งธรรม
นั้นด้วยปัญญา ความเพียรอันไม่ย่อหย่อน ชื่อว่าเป็น
ธรรมอันภิกษุนั้นปรารภแล้ว.
ภิกษุทั้งหลาย ! สมัยใด ความเพียรไม่ย่อหย่อน
อันภิกษุผู้เลือกเฟ้น ใคร่ครวญในธรรมนั้นด้วยปัญญา,
สมัยนั้น วิริยสัมโพชฌงค์ ก็เป็นอันว่าภิกษุนั้นปรารภแล้ว,
สมัยนั้นภิกษุชื่อว่าย่อมเจริญวิริยสัมโพชฌงค์, สมัยนั้น
วิริยสัมโพชฌงค์ของภิกษุชื่อว่าถึงความเต็มรอบแห่งการเจริญ.
ภิกษุนั้น เมื่อมีความเพียรอันปรารภแล้ว ปีติอันเป็นนิรามิส
ก็เกิดขึ้น.

ฉบับ ๔ มรรค วิธีที่ ง่าย 49
       ภิกษุทั้งหลาย ! สมัยใด ปีติอันเป็นนิรามิส เกิดขึ้น
แก่ภิกษุผู้มีความเพียรอันปรารภแล้ว, สมัยนั้น ปีติสัมโพชฌงค์
ก็เป็นอันว่าภิกษุนั้นปรารภแล้ว, สมัยนั้น ภิกษุชื่อว่าย่อม
เจริญปีติสัมโพชฌงค์, สมัยนั้นปีติสัมโพชฌงค์ของภิกษุ
ชื่อว่าถึงความเต็มรอบแห่งการเจริญ. ภิกษุนั้น เมื่อมีใจ
ประกอบด้วยปีติ แม้กายก็รำงับ แม้จิตก็รำงับ.
     ภิกษุทั้งหลาย ! สมัยใด ทั้งกายและทั้งจิต
ของภิกษุผู้มีใจประกอบด้วยปีติ ย่อมรำงับ, สมัยนั้น
ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ ก็เป็นอันว่าภิกษุนั้นปรารภแล้ว,
สมัยนั้นภิกษุชื่อว่าย่อมเจริญปัสสัทธิสัมโพชฌงค์, สมัยนั้น
ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ของภิกษุชื่อว่าถึงความเต็มรอบแห่ง
การเจริญ. ภิกษุนั้น เมื่อมีกายอันรำงับแล้ว มีความสุขอยู่
จิตย่อมตั้งมั่น.
      ภิกษุทั้งหลาย ! สมัยใด จิตของภิกษุผู้มีกาย
อันรำงับแล้วมีความสุขอยู่ ย่อมตั้งมั่น, สมัยนั้น สมาธิ-
สัมโพชฌงค์ ก็เป็นอันว่าภิกษุนั้นปรารภแล้ว, สมัยนั้น
      ภิกษุชื่อว่าย่อมเจริญสมาธิสัมโพชฌงค์, สมัยนั้นสมาธิ-
สัมโพชฌงค์ของภิกษุชื่อว่าถึงความเต็มรอบแห่งการเจริญ.

50 พุ ท ธ ว จ น
ภิกษุนั้น ย่อมเป็นผู้เข้า ไปเพ่งเฉพาะซึ่งจิตอันตั้งมั่นแล้ว
อย่างนั้นเป็นอย่างดี.
      ภิกษุทั้งหลาย ! สมัยใด ภิกษุเป็นผู้เข้าไปเพ่ง
เฉพาะซึ่งจิตอันตั้งมั่นแล้วอย่างนั้น เป็นอย่างดี, สมัยนั้น
อุเบกขาสัมโพชฌงค์ ก็เป็นอันว่าภิกษุนั้นปรารภแล้ว,
สมัยนั้น ภิกษุชื่อว่าย่อมเจริญอุเบกขาสัมโพชฌงค์, สมัยนั้น
อุเบกขาสัมโพชฌงค์ของภิกษุชื่อว่าถึงความเต็มรอบแห่ง
การเจริญ.
     ภิกษุทั้งหลาย ! สติปัฏฐานทั้ง ๔ อันบุคคล
เจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว อย่างนี้แล ย่อมทำโพชฌงค์ทั้ง ๗
ให้บริบูรณ์ได้.
หัวข้อ: Re: พุทธวจนสวัสดี
เริ่มหัวข้อโดย: ขลุ่ย ที่ วันที่ 24 พฤษภาคม 2013, 08:09:04 น.
คิด ๆ แล้วอยากบวชซ๊ะแล้ว


หัวข้อ: Re: พุทธวจนสวัสดี
เริ่มหัวข้อโดย: Nineyod ที่ วันที่ 24 พฤษภาคม 2013, 08:12:44 น.
ธรรมสวัสดี
หัวข้อ: Re: พุทธวจนสวัสดี
เริ่มหัวข้อโดย: สายฝน ที่ วันที่ 24 พฤษภาคม 2013, 08:20:51 น.
ฉบับ ๔ มรรค วิธีที่ ง่าย 51
โพชฌงค์บริบูรณ์
ย่อมทำวิชชาและวิมุตติให้บริบูรณ์

     ภิกษุทั้งหลาย ! โพชฌงค์ทั้ง ๗ อันบุคคลเจริญแล้ว
ทำให้มากแล้วอย่างไรเล่า จึงจะทำ�วิชชาและวิมุตติให้
บริบูรณ์ได้ ?
     ภิกษุทั้งหลาย ! ภิกษุในกรณีนี้
     ย่อมเจริญ สติสัมโพชฌงค์ อันอาศัยวิเวก
อันอาศัยวิราคะ (ความจางคลาย) อันอาศัยนิโรธ (ความดับ)
อันน้อมไปเพื่อโวสสัคคะ (ความสละ, ความปล่อย);
     ย่อมเจริญ ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ อันอาศัยวิเวก
อันอาศัยวิราคะ อันอาศัยนิโรธ อันน้อมไปเพื่อโวสสัคคะ;
     ย่อมเจริญ วิริยสัมโพชฌงค์ อันอาศัยวิเวก
อันอาศัยวิราคะ อันอาศัยนิโรธ อันน้อมไปเพื่อโวสสัคคะ;
     ย่อมเจริญ ปีติสัมโพชฌงค์ อันอาศัยวิเวก
อันอาศัยวิราคะ อันอาศัยนิโรธ อันน้อมไปเพื่อโวสสัคคะ;

52 พุ ท ธ ว จ น
    ย่อมเจริญ ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ อันอาศัยวิเวก
อันอาศัยวิราคะ อันอาศัยนิโรธ อันน้อมไปเพื่อโวสสัคคะ;
    ย่อมเจริญ สมาธิสัมโพชฌงค์ อันอาศัยวิเวก
อันอาศัยวิราคะ อันอาศัยนิโรธ อันน้อมไปเพื่อโวสสัคคะ;
    ย่อมเจริญ อุเบกขาสัมโพชฌงค์ อันอาศัยวิเวก
อันอาศัยวิราคะ อันอาศัยนิโรธ อันน้อมไปเพื่อโวสสัคคะ;
ภิกษุทั้งหลาย ! โพชฌงค์ทั้ง ๗ อันบุคคลเจริญแล้ว
ทำให้มากแล้ว อย่างนี้แล ย่อมทำวิชชาและวิมุตติให้
บริบูรณ์ได้, ดังนี้.
มหาวาร. สํ. ๑๙/๔๒๔/๑๔๐๒-๑๔๐๓.
(หมายเหตุผู้รวบรวม : พระสูตรที่ทรงตรัสเหมือนกันกับพระสูตรข้างบนนี้
ยังมีอีกคือ ปฐมอานันทสูตร มหาวาร. สํ. ๑๙/๔๑๗-๔๒๓/๑๓๘๑-๑๓๙๘.
ทุติยอานันทสูตร มหาวาร. สํ. ๑๙/๔๒๓-๔๒๔/๑๓๙๙-๑๔๐๑. ทุติยภิกขุสูตร
มหาวาร. สํ. ๑๙/๔๒๕/๑๔๐๔-๑๔๐๕.).
หัวข้อ: Re: พุทธวจนสวัสดี
เริ่มหัวข้อโดย: สายฝน ที่ วันที่ 24 พฤษภาคม 2013, 09:32:35 น.
คิด ๆ แล้วอยากบวชซ๊ะแล้ว




สาธุ
หัวข้อ: Re: พุทธวจนสวัสดี
เริ่มหัวข้อโดย: สายฝน ที่ วันที่ 24 พฤษภาคม 2013, 09:35:14 น.
ธรรมสวัสดี

อ่านเวลาว่างดี
หัวข้อ: Re: พุทธวจนสวัสดี
เริ่มหัวข้อโดย: อยู่ไกลเมืองสยาม ที่ วันที่ 24 พฤษภาคม 2013, 09:43:50 น.
คำสอนของพระองค์ เป็นอกาลิโก...  :flower: :flower: :flower:
หัวข้อ: Re: พุทธวจนสวัสดี
เริ่มหัวข้อโดย: สายฝน ที่ วันที่ 24 พฤษภาคม 2013, 09:45:33 น.
54 พุ ท ธ ว จ น
๑๒
ปฏิปทาเป็นที่สบาย
แก่การบรรลุนิพพาน
(นัยที่ ๑)
     ภิกษุทั้งหลาย ! เราจักแสดง ปฏิปทาเป็นที่
สบายแก่การบรรลุนิพพาน แก่พวกเธอ. พวกเธอจงฟัง
จงทำในใจให้ดี เราจักกล่าว.
     ภิกษุทั้งหลาย ! ปฏิปทาเป็นที่สบายแก่การ
บรรลุนิพพานนั้น เป็นอย่างไรเล่า ?
     ภิกษุทั้งหลาย ! ภิกษุในกรณีนี้
ย่อมเห็นซึ่ง จักษุ ว่า ไม่เที่ยง;
ย่อมเห็นซึ่ง รูปทั้งหลาย ว่า ไม่เที่ยง;
ย่อมเห็นซึ่ง จักขุวิญญาณ ว่า ไม่เที่ยง;
ย่อมเห็นซึ่ง จักขุสัมผัส ว่า ไม่เที่ยง;

ฉบับ ๔ มรรค วิธีที่ ง่าย 55
ย่อมเห็นซึ่ง เวทนา อันเป็นสุข เป็นทุกข์ หรือ
เป็นอทุกขมสุข (ไม่ทุกข์ไม่สุข) ที่เกิดขึ้นเพราะจักขุสัมผัส
เป็นปัจจัย ว่า ไม่เที่ยง.
(ในกรณีแห่ง โสตะ (หู) ฆานะ (จมูก) ชิวหา (ลิ้น)
กายะ (กาย) และมนะ (ใจ) ก็ได้ตรัสต่อไปด้วยข้อความอย่าง
เดียวกัน ทุกตัวอักษร ต่างกันแต่ชื่อเท่านั้น).
     ภิกษุทั้งหลาย ! นี้แล คือปฏิปทาเป็นที่สบาย
แก่การบรรลุนิพพาน นั้น.
สฬา. สํ. ๑๘/๑๖๗/๒๓๒.
หัวข้อ: Re: พุทธวจนสวัสดี
เริ่มหัวข้อโดย: สายฝน ที่ วันที่ 24 พฤษภาคม 2013, 09:47:02 น.
56 พุ ท ธ ว จ น
๑๓
ปฏิปทาเป็นที่สบาย
แก่การบรรลุนิพพาน
(นัยที่ ๒)
     ภิกษุทั้งหลาย ! เราจักแสดง ปฏิปทาเป็นที่
สบายแก่การบรรลุนิพพาน แก่พวกเธอ. พวกเธอจงฟัง
จงทำในใจให้ดี เราจักกล่าว.
     ภิกษุทั้งหลาย ! ปฏิปทาเป็นที่สบายแก่การ
บรรลุนิพพานนั้น เป็นอย่างไรเล่า ?
     ภิกษุทั้งหลาย ! ภิกษุในกรณีนี้
ย่อมเห็นซึ่ง จักษุ ว่า เป็นทุกข์;
ย่อมเห็นซึ่ง รูปทั้งหลาย ว่า เป็นทุกข์;
ย่อมเห็นซึ่ง จักขุวิญญาณ ว่า เป็นทุกข์;
ย่อมเห็นซึ่ง จักขุสัมผัส ว่า เป็นทุกข์;

ฉบับ ๔ มรรค วิธีที่ ง่าย 57
     ย่อมเห็นซึ่ง เวทนา อันเป็นสุข เป็นทุกข์ หรือ
เป็นอทุกขมสุข (ไม่ทุกข์ไม่สุข) ที่เกิดขึ้นเพราะจักขุสัมผัส
เป็นปัจจัย ว่า เป็นทุกข์.
(ในกรณีแห่ง โสตะ (หู) ฆานะ (จมูก) ชิวหา (ลิ้น)
กายะ (กาย) และมนะ (ใจ) ก็ได้ตรัสต่อไปด้วยข้อความอย่างเดียวกัน
ทุกตัวอักษร ต่างกันแต่ชื่อเท่านั้น).
     ภิกษุทั้งหลาย ! นี้แล คือปฏิปทาเป็นที่สบาย
แก่การบรรลุนิพพาน นั้น.
สฬา. สํ. ๑๘/๑๖๘/๒๓๓.
หัวข้อ: Re: พุทธวจนสวัสดี
เริ่มหัวข้อโดย: สายฝน ที่ วันที่ 24 พฤษภาคม 2013, 09:48:34 น.
58 พุ ท ธ ว จ น
๑๔
ปฏิปทาเป็นที่สบาย
แก่การบรรลุนิพพาน
(นัยที่ ๓)

   ภิกษุทั้งหลาย ! เราจักแสดง ปฏิปทาเป็นที่
สบายแก่การบรรลุนิพพาน แก่พวกเธอ. พวกเธอจงฟัง
จงทำในใจให้ดี เราจักกล่าว.
   ภิกษุทั้งหลาย ! ปฏิปทาเป็นที่สบายแก่การ
บรรลุนิพพานนั้น เป็นอย่างไรเล่า ?
   ภิกษุทั้งหลาย ! ภิกษุในกรณีนี้
ย่อมเห็นซึ่ง จักษุ ว่า เป็นอนัตตา;
ย่อมเห็นซึ่ง รูปทั้งหลาย ว่า เป็นอนัตตา;
ย่อมเห็นซึ่ง จักขุวิญญาณ ว่า เป็นอนัตตา;
ย่อมเห็นซึ่ง จักขุสัมผัส ว่า เป็นอนัตตา;

ฉบับ ๔ มรรค วิธีที่ ง่าย 59
    ย่อมเห็นซึ่ง เวทนา อันเป็นสุข เป็นทุกข์ หรือ
เป็นอทุกขมสุข (ไม่ทุกข์ไม่สุข) ที่เกิดขึ้นเพราะจักขุสัมผัส
เป็นปัจจัย ว่า เป็นอนัตตา.
(ในกรณีแห่ง โสตะ (หู) ฆานะ (จมูก) ชิวหา (ลิ้น)
กายะ (กาย) และมนะ (ใจ) ก็ได้ตรัสต่อไปด้วยข้อความอย่างเดียวกัน
ทุกตัวอักษร ต่างกันแต่ชื่อเท่านั้น).
    ภิกษุทั้งหลาย ! นี้แล คือปฏิปทาเป็นที่สบาย
แก่การบรรลุนิพพาน นั้น.
สฬา. สํ. ๑๘/๑๖๘/๒๓๔.
หัวข้อ: Re: พุทธวจนสวัสดี
เริ่มหัวข้อโดย: สายฝน ที่ วันที่ 24 พฤษภาคม 2013, 09:52:41 น.
60 พุ ท ธ ว จ น
๑๕
ปฏิปทาเป็นที่สบาย
แก่การบรรลุนิพพาน
(นัยที่ ๔)

     ภิกษุทั้งหลาย ! เราจักแสดง ปฏิปทาเป็นที่
สบายแก่การบรรลุนิพพาน แก่พวกเธอ. พวกเธอจงฟัง
จงทำในใจให้ดี เราจักกล่าว.
     ภิกษุทั้งหลาย ! ปฏิปทาเป็นที่สบายแก่การ
บรรลุนิพพานนั้น เป็นอย่างไรเล่า ?
     ภิกษุทั้งหลาย ! พวกเธอจะสำคัญความข้อนี้
ว่าอย่างไร : จักษุเที่ยงหรือไม่เที่ยง ?
“ไม่เที่ยง พระเจ้าข้า !”.
สิ่งใดไม่เที่ยง, สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือสุขเล่า ?
“เป็นทุกข์ พระเจ้าข้า !”.
สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนไปเป็น
ธรรมดา, ควรหรือหนอที่จะตามเห็นสิ่งนั้นว่า “นั่นของเรา
(เอตํ มม), นั่นเป็นเรา (เอโสหมสฺมิ), นั่นเป็นอัตตาของเรา
(เอโส เม อตฺตา)” ดังนี้ ?

ฉบับ ๔ มรรค วิธีที่ ง่าย 61
    “ไม่ควรตามเห็นอย่างนั้น พระเจ้าข้า !”.
(ต่อไป ได้ตรัสถามและภิกษุตอบ เกี่ยวกับ รูป...จักขุ-
วิญญาณ...จักขุสัมผัส...จักขุสัมผัสสชาเวทนา, ซึ่งมีข้อความอย่าง
เดียวกันกับในกรณีแห่งจักษุนั้นทุกประการ ต่างกันแต่ชื่อเท่านั้น
เมื่อตรัสข้อความในกรณีแห่งอายตนิกธรรมหมวดจักษุ
จบลงดังนี้แล้ว ได้ตรัสข้อความในกรณีแห่ง อายตนิกธรรมหมวด
โสตะ หมวดฆานะ หมวดชิวหา หมวดกายะ และหมวดมนะ
ต่อไปอีก ซึ่งมีข้อความที่ตรัสอย่างเดียวกันกับในกรณีแห่ง
อายตนิกธรรมหมวดจักษุนั้นทุกประการ ต่างกันแต่เพียงชื่อเท่านั้น
ผู้ศึกษาพึงเทียบเคียงได้เอง).
    ภิกษุทั้งหลาย ! อริยสาวกผู้มีการสดับ เมื่อเห็นอยู่
อย่างนี้
ย่อมเบื่อหน่ายแม้ใน จักษุ;
ย่อมเบื่อหน่ายแม้ใน รูป;
ย่อมเบื่อหน่ายแม้ใน จักขุวิญญาณ;
ย่อมเบื่อหน่ายแม้ใน จักขุสัมผัส;
ย่อมเบื่อหน่ายใน เวทนา อันเป็นสุข เป็นทุกข์
หรือเป็นอทุกขมสุข (ไม่ทุกข์ไม่สุข) ที่เกิดขึ้นเพราะ
จักขุสัมผัสเป็นปัจจัย;

62 พุ ท ธ ว จ น
    (ในกรณีแห่งอายตนิกธรรมหมวดโสตะ ฆานะ ชิวหา
กายะ มนะ ก็ได้ตรัสต่อไปอีก โดยนัยอย่างเดียวกันกับกรณีแห่ง
อายตนิกธรรมหมวดจักษุนี้);
เมื่อเบื่อหน่าย ย่อม คลายกำหนัด;
เพราะคลายกำหนัด ย่อม หลุดพ้น;
เมื่อหลุดพ้นแล้ว ย่อมมี ญาณหยั่งรู้ว่าหลุดพ้นแล้ว.
อริยสาวกนั้น ย่อม รู้ชัดว่า
“ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว
กิจที่ควรทำได้ทำสำเร็จแล้ว
กิจอื่นที่จะต้องทำเพื่อความเป็นอย่างนี้ มิได้มีอีก”.
    ภิกษุทั้งหลาย ! นี้แล คือ ปฏิปทาเป็นที่สบาย
แก่การบรรลุนิพพาน นั้น.
สฬา. สํ. ๑๘/๑๖๙/๒๓๕.
หัวข้อ: Re: พุทธวจนสวัสดี
เริ่มหัวข้อโดย: สายฝน ที่ วันที่ 24 พฤษภาคม 2013, 09:55:53 น.
ฉบับ ๔ มรรค วิธีที่ ง่าย 63
๑๖
กระจายเสีย ซึ่งผัสสะ

    ภิกษุทั้งหลาย !
วิญญาณย่อมมีขึ้น เพราะอาศัยธรรม ๒ อย่าง.
สองอย่างอะไรเล่า ? สองอย่างคือ :-
ภิกษุทั้งหลาย ! เพราะอาศัยซึ่ง จักษุ ด้วย
ซึ่ง รูปทั้งหลาย ด้วย จักขุวิญญาณ จึงเกิดขึ้น. จักษุเป็น
สิ่งที่ไม่เที่ยง มีความแปรปรวน มีความเป็นไปโดยประการอื่น;
รูปทั้งหลายเป็นสิ่งที่ไม่เที่ยง มีความแปรปรวน มีความเป็นไป
โดยประการอื่น : ธรรมทั้งสอง (จักษุ+รูป) อย่างนี้แล
เป็นสิ่งที่หวั่นไหวด้วย อาพาธด้วย ไม่เที่ยง มีความ
แปรปรวน มีความเป็นไปโดยประการอื่น; จักขุวิญญาณ
เป็นสิ่งที่ไม่เที่ยง มีความแปรปรวน มีความเป็นไปโดย
ประการอื่น; เหตุอันใดก็ตาม ปัจจัยอันใดก็ตาม เพื่อความ
เกิดขึ้นแห่งจักขุวิญญาณ, แม้ เหตุ อันนั้น แม้ ปัจจัย อันนั้น

64 พุ ท ธ ว จ น
    ก็ล้วนเป็นสิ่งที่ไม่เที่ยง มีความแปรปรวน มีความเป็นไป
โดยประการอื่น. ภิกษุทั้งหลาย ! จักขุวิญญาณเกิดขึ้นแล้ว
เพราะอาศัยปัจจัยที่ไม่เที่ยงดังนี้ จักขุวิญญาณจักเป็นของ
เที่ยงมาแต่ไหน.
ภิกษุทั้งหลาย ! ความประจวบพร้อม ความ
ประชุมพร้อม ความมาพร้อมกันแห่งธรรมทั้งหลาย
(จักษุ+รูป+จักขุวิญญาณ) ๓ อย่าง เหล่านี้ อันใดแล;
ภิกษุทั้งหลาย ! อันนี้เราเรียกว่า จักขุสัมผัส. ภิกษุ
ทั้งหลาย ! แม้ จักขุสัมผัส ก็เป็นสิ่งที่ไม่เที่ยง มีความ
แปรปรวน มีความเป็นไปโดยประการอื่น. เหตุอันใดก็ตาม
ปัจจัยอันใดก็ตาม เพื่อความเกิดขึ้นแห่งจักขุสัมผัส,
แม้ เหตุ อันนั้น แม้ ปัจจัย อันนั้น ก็ล้วนเป็นสิ่งที่
ไม่เที่ยง มีความแปรปรวน มีความเป็นไปโดยประการอื่น.
ภิกษุทั้งหลาย ! จักขุสัมผัสเกิดขึ้นแล้ว เพราะอาศัยปัจจัย
ที่ไม่เที่ยงดังนี้ จักขุสัมผัสจักเป็นของเที่ยง มาแต่ไหน.

ฉบับ ๔ มรรค วิธีที่ ง่าย 65
    ภิกษุทั้งหลาย ! บุคคลที่ผัสสะกระทบแล้วย่อม
รู้สึก (เวเทติ), ผัสสะกระทบแล้วย่อม คิด (เจเตติ), ผัสสะ
กระทบแล้วย่อม จำได้หมายรู้ (สญฺชานาติ) : แม้ธรรมทั้งหลาย
(เวทนา, เจตนา, สัญญา) อย่างนี้เหล่านี้ ก็ล้วนเป็นสิ่งที่หวั่นไหว
ด้วย อาพาธด้วย ไม่เที่ยง มีความแปรปรวน มีความเป็นไป
โดยประการอื่น;
(ในกรณีแห่งโสตวิญญาณก็ดี, ฆานวิญญาณก็ดี, ชิวหา-
วิญญาณก็ดี, กายวิญญาณก็ดี, ก็มีนัยเดียวกัน).
    ภิกษุทั้งหลาย ! เพราะอาศัยซึ่ง มโนด้วย ซึ่ง
ธรรมารมณ์ทั้งหลายด้วย มโนวิญญาณ จึงเกิดขึ้น.
มโนเป็นสิ่งที่ไม่เที่ยง มีความแปรปรวน มีความเป็นไป
โดยประการอื่น; ธรรมารมณ์ทั้งหลายเป็นสิ่งที่ไม่เที่ยง
มีความแปรปรวน มีความเป็นไปโดยประการอื่น :
ธรรมทั้งสอง (มโน+ธรรมารมณ์) อย่างนี้แล เป็นสิ่งที่
หวั่นไหวด้วย อาพาธด้วย ไม่เที่ยง มีความแปรปรวน
มีความเป็นไปโดยประการอื่น; มโนวิญญาณเป็นสิ่งที่
ไม่เที่ยง มีความแปรปรวน มีความเป็นไปโดยประการอื่น;

66 พุ ท ธ ว จ น
เหตุอันใดก็ตาม ปัจจัยอันใดก็ตาม เพื่อความเกิดขึ้น
แห่งมโนวิญญาณ, แม้ เหตุ อันนั้น แม้ ปัจจัย อันนั้น
ก็ล้วนเป็นสิ่งที่ไม่เที่ยง มีความแปรปรวน มีความเป็นไป
โดยประการอื่น. ภิกษุทั้งหลาย ! มโนวิญญาณเกิดขึ้นแล้ว
เพราะอาศัยปัจจัยที่ไม่เที่ยงดังนี้ มโนวิญญาณจักเป็น
ของเที่ยงมาแต่ไหน.
    ภิกษุทั้งหลาย ! ความประจวบพร้อม ความ
ประชุมพร้อม ความมาพร้อมกันแห่งธรรมทั้งหลาย
(มโน+ธรรมารมณ์+มโนวิญญาณ) ๓ อย่าง เหล่านี้
อันใดแล; ภิกษุทั้งหลาย ! อันนี้เราเรียกว่า มโนสัมผัส.
    ภิกษุทั้งหลาย ! แม้มโนสัมผัส ก็เป็นสิ่งที่ไม่เที่ยง มีความ
แปรปรวน มีความเป็นไปโดยประการอื่น. เหตุอันใดก็ตาม
ปัจจัยอันใดก็ตาม เพื่อความเกิดขึ้นแห่งมโนสัมผัส, แม้ เหตุ
อันนั้น แม้ ปัจจัย อันนั้น ก็ล้วนเป็นสิ่งที่ไม่เที่ยง มีความ
แปรปรวน มีความเป็นไปโดยประการอื่น. ภิกษุทั้งหลาย !
มโนสัมผัสเกิดขึ้นแล้ว เพราะอาศัยปัจจัยที่ไม่เที่ยงดังนี้
มโนสัมผัสจักเป็นของเที่ยงมาแต่ไหน.

ฉบับ ๔ มรรค วิธีที่ ง่าย 67
ภิกษุทั้งหลาย ! บุคคลที่ผัสสะกระทบแล้วย่อม
รู้สึก (เวเทติ), ผัสสะกระทบแล้วย่อม คิด (เจเตติ),
ผัสสะกระทบแล้วย่อม จำได้หมายรู้ (สญฺชานาติ) : แม้
ธรรมทั้งหลาย (เวทนา, เจตนา, สัญญา) อย่างนี้เหล่านี้
ก็ล้วนเป็นสิ่งที่หวั่นไหวด้วย อาพาธด้วย ไม่เที่ยง
มีความแปรปรวน มีความเป็นไปโดยประการอื่น.
สฬา. สํ. ๑๘/๘๕/๑๒๔-๗.
หัวข้อ: Re: พุทธวจนสวัสดี
เริ่มหัวข้อโดย: สายฝน ที่ วันที่ 24 พฤษภาคม 2013, 10:01:39 น.
68 พุ ท ธ ว จ น
๑๗
เจริญอริยมรรคมีองค์ ๘ ด้วยวิธีลัด

    ภิกษุทั้งหลาย !
เมื่อรู้เมื่อเห็นอยู่ ซึ่ง จักษุ ตามที่เป็นจริง;
เมื่อรู้เมื่อเห็นอยู่ ซึ่ง รูปทั้งหลาย ตามที่เป็นจริง;
เมื่อรู้เมื่อเห็นอยู่ ซึ่ง จักขุวิญญาณ ตามที่เป็นจริง;
เมื่อรู้เมื่อเห็นอยู่ ซึ่ง จักขุสัมผัส ตามที่เป็นจริง;
เมื่อรู้เมื่อเห็นอยู่ ซึ่ง เวทนา อันเกิดขึ้นเพราะ
    จักขุสัมผัสเป็นปัจจัย สุขก็ตาม ทุกข์ก็ตาม อทุกขมสุขก็ตาม,
ตามที่เป็นจริง; บุคคล ย่อมไม่กำหนัดยินดี ในจักษุ,
ย่อมไม่กำหนัดยินดี ในรูปทั้งหลาย, ย่อมไม่กำ�หนัดยินดี
ในจักขุวิญญาณ, ย่อมไม่กำหนัดยินดี ในจักขุสัมผัส,
ย่อมไม่กำหนัดยินดี ในเวทนา อันเกิดขึ้นเพราะจักขุสัมผัส
เป็นปัจจัย สุขก็ตาม ทุกข์ก็ตาม อทุกขมสุขก็ตาม.
เมื่อบุคคลนั้นไม่กำหนัดยินดีแล้ว ไม่ประกอบ
พร้อมแล้ว ไม่หลงใหลแล้ว มีปกติเห็นโทษอยู่;

ฉบับ ๔ มรรค วิธีที่ ง่าย 69
ปัญจุปาทานขันธ์ ย่อมถึงซึ่งความไม่ก่อขึ้นอีกต่อไป
และ ตัณหา อันเครื่องนำมาซึ่งภพใหม่ ประกอบอยู่ด้วย
ความกำหนัด ด้วยอำนาจแห่งความเพลิน ทำให้เพลิน
อย่างยิ่งในอารมณ์นั้นๆ ของบุคคลนั้น ย่อมละไป.
ความกระวนกระวาย ทางกายและทางจิต ก็ละไป;
ความแผดเผา ทางกายและทางจิต ก็ละไป; ความเร่าร้อน
ทางกายและทางจิต ก็ละไป; บุคคลนั้นย่อมเสวยความสุข
ทั้งทางกายและทางจิต
ทิฏฐิของผู้รู้ผู้เห็นอยู่เช่นนั้น เป็น สัมมาทิฏฐิ
ความดำริของผู้รู้ผู้เห็นอยู่เช่นนั้น
เป็น สัมมาสังกัปปะ,
ความเพียรของผู้รู้ผู้เห็นอยู่เช่นนั้น
เป็น สัมมาวายามะ,
สติของผู้รู้ผู้เห็นอยู่เช่นนั้น เป็น สัมมาสติ,
สมาธิของผู้รู้ผู้เห็นอยู่เช่นนั้น เป็น สัมมาสมาธิ.
ส่วน กายกรรม วจีกรรม และอาชีวะ ของเขา

70 พุ ท ธ ว จ น
บริสุทธ์ิมาแล้วแต่เดิม; (ดังนั้นเป็นอันว่า สัมมากัมมันตะ
สัมมาวาจา สัมมาอาชีวะ มีอยู่แล้วอย่างเต็มที่ ในบุคคล
ผู้รู้อยู่ผู้เห็นอยู่เช่นนั้น).
ด้วยอาการอย่างนี้ เป็นอันว่า
อริยอัฏฐังคิกมรรค (อริยมรรคมีองค์ ๘) แห่ง
บุคคลผู้รู้ผู้อยู่เห็นอยู่เช่นนั้น ย่อมถึงซึ่งความบริบูรณ์
แห่งภาวนา ด้วยอาการอย่างนี้.
เมื่อเขาทำอริยอัฏฐังคิกมรรคให้เจริญอยู่
อย่างนี้ สติปัฏฐานสี่ ... สัมมัปปธานสี่ ... อิทธิบาทสี่ ...
อินทรีย์ห้า ... พละห้า ... โพชฌงค์เจ็ด ... ย่อมถึงความ
งอกงามบริบูรณ์ได้แท้. ธรรมสองอย่างของเขาคือ
สมถะและวิปัสสนา ชื่อว่าเข้าคู่กันได้อย่างแน่นแฟ้น...
(ในกรณีแห่ง โสตะ (หู) ฆานะ (จมูก) ชิวหา (ลิ้น)
กายะ (กาย) และมนะ (ใจ) ก็ได้ตรัสต่อไปด้วยข้อความอย่างเดียวกัน).
อุปริ. ม. ๑๔/๕๒๒–๕๒๕/๘๒๘–๘๓๐.
หัวข้อ: Re: พุทธวจนสวัสดี
เริ่มหัวข้อโดย: สายฝน ที่ วันที่ 24 พฤษภาคม 2013, 10:03:14 น.
ฉบับ ๔ มรรค วิธีที่ ง่าย 71
๑๘
เมื่อไม่มีมา ไม่มีไป
ย่อมไม่มีเกิด และไม่มีดับ

    พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ทรงชักชวนภิกษุทั้งหลาย
ด้วยธัมมิกถาอันเนื่องเฉพาะด้วยนิพพาน, ได้ทรงเห็นว่า
ภิกษุทั้งหลายสนใจฟังอย่างยิ่ง จึงได้ตรัสพระพุทธอุทานนี้ขึ้น
ในเวลานั้น ว่า :-
ความหวั่นไหว ย่อมมี
แก่บุคคลผู้อันตัณหาและทิฏฐิอาศัยแล้ว
(นิสฺสิตสฺส จลิตํ)
ความหวั่นไหว ย่อมไม่มี
แก่บุคคลผู้อันตัณหาและทิฏฐิไม่อาศัยแล้ว
(อนิสฺสิตสฺส จลิตํ นตฺถิ)
เมื่อความหวั่นไหวไม่มี, ปัสสัทธิย่อมมี
(จลิเต อสติ ปสฺสทฺธิ)

72 พุ ท ธ ว จ น
เมื่อปัสสัทธิมี, นติ (ความน้อมไป) ย่อมไม่มี
(ปสฺสทฺธิยา สติ นติ น โหติ)
เมื่อนติไม่มี, อาคติคติ (การมาและการไป) ย่อมไม่มี
(นติยา อสติ อาคติคติ น โหติ)
เมื่ออาคติคติไม่มี,
จุตูปปาตะ (การเคลื่อนและการเกิดขึ้น) ย่อมไม่มี
(อาคติคติยา อสติ จุตูปปาโต น โหติ)
เมื่อจุตูปปาตะไม่มี, อะไรๆ ก็ไม่มีในโลกนี้
ไม่มีในโลกอื่น ไม่มีในระหว่างแห่งโลกทั้งสอง
(จุตูปปาเต อสติ เนวิธ น หุรํ น อุภยมนฺตเร)
นั่นแหละ คือที่สุดแห่งทุกข์ละ.
(เอเสวนฺโต ทุกฺขสฺส)
อุ. ขุ. ๒๕/๒๐๘/๑๖๑.
หัวข้อ: Re: พุทธวจนสวัสดี
เริ่มหัวข้อโดย: สายฝน ที่ วันที่ 24 พฤษภาคม 2013, 10:04:58 น.
             
                      สักแต่ว่า
หัวข้อ: Re: พุทธวจนสวัสดี
เริ่มหัวข้อโดย: สายฝน ที่ วันที่ 24 พฤษภาคม 2013, 10:05:48 น.
74 พุ ท ธ ว จ น
๑๙
สักแต่ว่า...
(นัยที่ ๑)

พาหิยะ ! เมื่อใดเธอ
เห็นรูปแล้ว สักว่าเห็น,
ได้ฟังเสียงแล้ว สักว่าฟัง,
ได้กลิ่น, ลิ้มรส, สัมผัสทางผิวกาย,
ก็สักว่าดม, ลิ้ม, สัมผัส,
ได้รู้แจ้งธรรมารมณ์ ก็สักว่าได้รู้แจ้งแล้ว;
เมื่อนั้น “เธอ” จักไม่มี.
เมื่อใด “เธอ” ไม่มี;
เมื่อนั้นเธอก็ไม่ปรากฏในโลกนี้,
ไม่ปรากฏในโลกอื่น,
ไม่ปรากฏในระหว่างแห่งโลกทั้งสอง :
นั่นแหละ คือที่สุดแห่งทุกข์ละ.
อุ. ขุ. ๒๕/๘๓-๘๔/๔๙.
หัวข้อ: Re: พุทธวจนสวัสดี
เริ่มหัวข้อโดย: สายฝน ที่ วันที่ 24 พฤษภาคม 2013, 10:08:35 น.
๒๐
สักแต่ว่า...
(นัยที่ ๒)

     “ข้าแต่พระองค์เจริญ ! ข้าพระองค์เป็นคนชรา เป็น
คนแก่คนเฒ่ามานานผ่านวัยมาตามลำ ดับ. ขอพระผู้มีพระภาค
ทรงแสดงธรรมโดยย่อ ขอพระสุคตจงทรงแสดงธรรมโดยย่อ
ในลักษณะที่ข้าพระองค์จะพึงรู้ทั่วถึงเนื้อความแห่งภาษิตของ
พระผู้มีพระภาคเจ้า ในลักษณะที่ข้าพระองค์จะพึงเป็นทายาท
แห่งภาษิตของพระผู้มีพระภาคเจ้าเถิด พระเจ้าข้า !”.
มาลุงก๎ยบุตร ! ท่านจะสำคัญความข้อนี้ว่า
อย่างไร คือ รูปทั้งหลาย อันรู้สึกกันได้ทางตา เป็นรูปที่
ท่านไม่ได้เห็น ไม่เคยเห็น ที่ท่านกำ�ลังเห็นอยู่ก็ไม่มี ที่ท่าน
คิดว่าท่านควรจะได้เห็นก็ไม่มี ดังนี้แล้ว ความพอใจก็ดี
ความกำหนัดก็ดี ความรักก็ดี ในรูปเหล่านั้น ย่อมมีแก่ท่าน
หรือ ?
“ข้อนั้น หามิได้พระเจ้าข้า !”.
(ต่อไปนี้ ได้มีการตรัสถามและการทูลตอบในทำ�นองเดียวกันนี้
ทุกตัวอักษร ผิดกันแต่ชื่อของสิ่งที่นำมากล่าว คือในกรณีแห่งเสียง
อันรู้สึกกันได้ทางหู ในกรณีแห่ง กลิ่นอันรู้สึกกันได้ทางจมูก

76 พุ ท ธ ว จ น
ในกรณีแห่ง รสอันรู้สึกกันได้ทางลิ้น ในกรณีแห่ง โผฏฐัพพะอัน
รู้สึกกันได้ทางผิวกาย และในกรณีแห่ง ธรรมารมณ์อันรู้สึกกันได้
ทางใจ).
มาลุงก๎ยบุตร ! ในบรรดาสิ่งที่ท่าน พึงเห็น
พึงฟัง พึงรู้สึก พึงรู้แจ้งเหล่านั้น;
ใน สิ่งที่ท่านเห็นแล้ว จักเป็นแต่เพียงสักว่าเห็น;
ใน สิ่งที่ท่านฟังแล้ว จักเป็นแต่เพียงสักว่าได้ยิน;
ใน สิ่งที่ท่านรู้สึกแล้ว (ทางจมูก, ลิ้น, กาย)
จักเป็นแต่เพียงสักว่ารู้สึก;
ใน สิ่งที่ท่านรู้แจ้งแล้ว (ทางวิญญาณ)
ก็จักเป็นแต่เพียงสักว่ารู้แจ้ง.
มาลุงก๎ยบุตร ! เมื่อใดแล ในบรรดาธรรมเหล่านั้น :
เมื่อ สิ่งที่เห็นแล้ว สักว่าเห็น, สิ่งที่ฟังแล้ว สักว่าได้ยิน,
สิ่งที่รู้สึกแล้ว สักว่ารู้สึก, สิ่งที่รู้แจ้งแล้ว สักว่ารู้แจ้ง,
ดังนี้แล้ว;
มาลุงก๎ยบุตร ! เมื่อนั้น ตัวท่านย่อมไม่มี
เพราะเหตุนั้น;

ฉบับ ๔ มรรค วิธีที่ ง่าย 77
มาลุงก๎ยบุตร ! เมื่อใดตัวท่านไม่มีเพราะ
เหตุนั้น, เมื่อนั้น ตัวท่านก็ไม่มีในที่นั้นๆ;
มาลุงก๎ยบุตร ! เมื่อใดตัวท่านไม่มีในที่นั้นๆ,
เมื่อนั้นตัวท่านก็ไม่มีในโลกนี้ ไม่มีในโลกอื่น
ไม่มีในระหว่างโลกทั้งสอง :
นั่นแหละ คือที่สุดแห่งความทุกข์ ดังนี้.
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! ข้าพระองค์รู้ทั่วถึงเนื้อความ
แห่งภาษิตอันพระผู้มีพระภาคตรัสแล้วโดยย่อนี้ ได้โดยพิสดาร
ดังต่อไปนี้ :-
เห็นรูปแล้ว สติหลงลืม ทำในใจซึ่งรูปนิมิตว่า
น่ารัก มีจิตกำหนัดแก่กล้าแล้ว เสวยอารมณ์นั้นอยู่
ความสยบมัวเมาย่อมครอบงำบุคคลนั้น. เวทนาอัน
เกิดจากรูปเป็นอเนกประการ ย่อมเจริญแก่เขานั้น.
อภิชฌาและวิหิงสาย่อมเข้าไปกลุ้มรุมจิตของเขา.
เมื่อสะสมทุกข์อยู่อย่างนี้ ท่านกล่าวว่ายังไกลจากนิพพาน.
(ในกรณีแห่งการฟังเสียง ดมกลิ่น ลิ้มรส ถูกต้อง
โผฏฐัพพะด้วยกาย รู้สึกธรรมารมณ์ด้วยใจ ก็มีข้อความที่กล่าวไว้
อย่างเดียวกัน).

78 พุ ท ธ ว จ น
บุคคลนั้นไม่กำหนัดในรูปทั้งหลาย เห็นรูปแล้ว
มีสติเฉพาะ มีจิตไม่กำหนัดเสวยอารมณ์อยู่ ความ
สยบมัวเมาย่อมไม่ครอบงำบุคคลนั้น. เมื่อเขาเห็นอยู่
ซึ่งรูปตามที่เป็นจริง เสวยเวทนาอยู่ ทุกข์ก็สิ้นไปๆ
ไม่เพิ่มพูนขึ้น เขามีสติประพฤติอยู่ด้วยอาการอย่างนี้,
เมื่อไม่สะสมทุกข์อยู่อย่างนี้ ท่านกล่าวว่าอยู่ใกล้ต่อ
นิพพาน.
(ในกรณีแห่งการฟังเสียง ดมกลิ่น ลิ้มรส ถูกต้อง
โผฏฐัพพะด้วยกาย รู้สึกธรรมารมณ์ด้วยใจ ก็มีข้อความที่กล่าวไว้
อย่างเดียวกัน).
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! ข้าพระองค์รู้ทั่วถึงเนื้อความ
แห่งภาษิตอันพระผู้มีพระภาคตรัสแล้วโดยย่อนี้ ได้โดยพิสดาร
อย่างนี้ พระเจ้าข้า !”.
พระผู้มีพระภาค ทรงรับรองความข้อนั้น ว่า
เป็นการถูกต้อง. ท่านมาลุงก๎ยบุตรหลีกออกสู่ที่สงัด
กระทำความเพียรได้เป็นอรหันต์องค์หนึ่งในศาสนานี้.
สฬา. สํ. ๑๘/๙๐-๙๕/๑๓๒-๑๓๙.
หัวข้อ: Re: พุทธวจนสวัสดี
เริ่มหัวข้อโดย: สายฝน ที่ วันที่ 24 พฤษภาคม 2013, 10:10:01 น.
                 
            สติปัฏฐาน ๔
หัวข้อ: Re: พุทธวจนสวัสดี
เริ่มหัวข้อโดย: สายฝน ที่ วันที่ 24 พฤษภาคม 2013, 10:14:13 น.
80 พุ ท ธ ว จ น
๒๑
มีสติ มีสัมปชัญญะ รอคอยการตาย

    ภิกษุทั้งหลาย !
ภิกษุพึงเป็นผู้มีสติ มีสัมปชัญญะ
เมื่อรอคอยการทำกาละ :
นี้เป็น อนุสาสนีของเราสำหรับพวกเธอทั้งหลาย.
ภิกษุทั้งหลาย ! ภิกษุ เป็นผู้มีสติ เป็นอย่างไรเล่า?
ภิกษุทั้งหลาย ! ภิกษุในกรณีนี้
เป็นผู้เห็นกายในกายอยู่เป็นประจำ มีความเพียร
เผากิเลส มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัส
ในโลกออกเสียได้;
เป็นผู้เห็นเวทนาในเวทนาทั้งหลายอยู่เป็นประจำ...;
เป็นผู้เห็นจิตในจิตอยู่เป็นประจำ...;
เป็นผู้เห็นธรรมในธรรมทั้งหลายอยู่เป็นประจำ
มีความเพียรเผากิเลส มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌา
และโทมนัสในโลกออกเสียได้. อย่างนี้แล ภิกษุทั้งหลาย !
เรียกว่า ภิกษุเป็นผู้มีสติ.

ฉบับ ๔ มรรค วิธีที่ ง่าย 81
    ภิกษุทั้งหลาย ! ภกิ ษุ เปน็ ผ้มู สี มั ปชญั ญะ เปน็
อย่างไรเล่า ?
ภิกษุทั้งหลาย ! ภิกษุในกรณีนี้
เป็นผู้รู้ตัวรอบคอบในการก้าวไปข้างหน้า การ
ถอยกลับไปข้างหลัง, การแลดู การเหลียวดู, การคู้ การเหยียด,
การทรงสังฆาฏิ บาตร จีวร, การฉัน การดื่ม การเคี้ยว การลิ้ม,
การถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ, การไป การหยุด, การนั่ง การนอน,
การหลับ การตื่น, การพูด การนิ่ง. อย่างนี้แล ภิกษุทั้งหลาย !
เรียกว่า ภิกษุเป็นผู้มีสัมปชัญญะ.
    ภิกษุทั้งหลาย !
    ภิกษุพึงเป็นผู้มีสติมีสัมปชัญญะ
เมื่อรอคอยการทำกาละ :
นี้แล เป็นอนุสาสนีของเราสำหรับพวกเธอทั้งหลาย.
ภิกษุทั้งหลาย ! ถ้าเมื่อภิกษุ มีสติ มีสัมปชัญญะ
ไม่ประมาท มีความเพียรเผากิเลส มีตนส่งไปแล้วในธรรม
อยู่อย่างนี้, สุขเวทนา เกิดขึ้น ไซร้; เธอย่อมรู้ชัดอย่างนี้ว่า
“สุขเวทนานี้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา, แต่สุขเวทนานี้ อาศัยเหตุ
ปัจจัยจึงเกิดขึ้นได้ ไม่อาศัยเหตุปัจจัยแล้วหาเกิดขึ้นได้ไม่.

82 พุ ท ธ ว จ น
อาศัยเหตุปัจจัยอะไรเล่า ? อาศัยเหตุปัจจัยคือ กายนี้ นั่นเอง
ก็กายนี้ ไม่เที่ยง มีปัจจัยปรุงแต่ง อาศัยเหตุปัจจัยเกิดขึ้น
สุขเวทนาที่เกิดขึ้นเพราะอาศัยกาย ซึ่งไม่เที่ยง มีปัจจัยปรุงแต่ง
อาศัยเหตุปัจจัยเกิดขึ้น ดังนี้แล้ว จักเป็นสุขเวทนาที่เที่ยง
มาแต่ไหน” ดังนี้. ภิกษุนั้น เป็นผู้ตามเห็นความไม่เที่ยงอยู่
ตามเห็นความเสื่อม ความจางคลายอยู่ ตามเห็นความดับไป
ความสลัดคืนอยู่ในกายและในสุขเวทนา. เมื่อเธอเป็นผู้
ตามเห็นความไม่เที่ยง (เป็นต้น) อยู่ในกายและในสุขเวทนา
อยู่ดังนี้, เธอย่อมละเสียได้ ซึ่ง ราคานุสัย ในกายและ
ในสุขเวทนานั้น.
    ภิกษุนั้น ถ้าเสวย สุขเวทนา ก็รู้ชัดว่า “สุขเวทนา
นั้น เป็นของไม่เที่ยง, และเป็นเวทนาที่เรามิได้มัวเมา
เพลิดเพลินอยู่” ดังนี้. ถ้าเสวย ทุกขเวทนา ก็รู้ชัดว่า
“ทุกขเวทนานั้น เป็นของไม่เที่ยง, และเป็นเวทนาที่เรามิได้
มัวเมาเพลิดเพลินอยู่” ดังนี้. ถ้าเสวย อทุกขมสุขเวทนา
ก็รู้ชัดว่า “อทุกขมสุขเวทนานั้น เป็นของไม่เที่ยง, และเป็น
เวทนาที่เรามิได้มัวเมาเพลิดเพลินอยู่” ดังนี้.

ฉบับ ๔ มรรค วิธีที่ ง่าย 83
ภิกษุนั้น ถ้าเสวย สุขเวทนา ก็เป็นผู้ปราศจากกิเลส
อันเกิดจากเวทนานั้นเป็นเครื่องร้อยรัดแล้ว เสวยเวทนานั้น;
ถ้าเสวย ทุกขเวทนา ก็เป็นผู้ปราศจากกิเลสอันเกิดจาก
เวทนานั้นเป็นเครื่องร้อยรัดแล้ว เสวยเวทนานั้น; ถ้าเสวย
อทุกขมสุขเวทนา ก็เป็นผู้ปราศจากกิเลส อันเกิดจาก
เวทนานั้นเป็นเครื่องร้อยรัดแล้ว เสวยเวทนานั้น. ภิกษุนั้น
เมื่อเสวย เวทนาอันมีกายเป็นที่สุดรอบ ย่อมรู้ชัดว่าเรา
เสวยเวทนาอันมีกายเป็นที่สุดรอบ; เมื่อเสวย เวทนาอัน
มีชีวิตเป็นที่สุดรอบ ย่อมรู้ชัดว่าเราเสวยเวทนาอันมีชีวิต
เป็นที่สุดรอบ. เธอย่อม รู้ชัดว่า เวทนาทั้งปวงอันเรา
ไม่เพลิดเพลินแล้ว จักเป็นของเย็นในอัตตภาพนี้นั่นเทียว
จนกระทั่งถึงที่สุดรอบแห่งชีวิต เพราะการแตกทำลาย
แห่งกาย ดังนี้.
ภิกษุทั้งหลาย ! เปรียบเหมือนประทีปน้ำมัน
ได้อาศัยน้ำมันและไส้แล้วก็ลุกโพลงอยู่ได้, เมื่อขาดปัจจัย
เครื่องหล่อเลี้ยง เพราะขาดนำ้มันและไส้นั้นแล้ว ย่อมดับลง,
นี้ฉันใด; ภิกษุทั้งหลาย ข้อนี้ก็ฉันนั้น คือภิกษุ เมื่อเสวย

84 พุ ท ธ ว จ น
เวทนาอันมีกายเป็นที่สุดรอบ, ก็รู้ชัดว่าเราเสวยเวทนาอัน
มีกายเป็นที่สุดรอบ ดังนี้. เมื่อเสวยเวทนาอันมีชีวิตเป็น
ที่สุดรอบ ก็รู้ชัดว่าเราเสวยเวทนาอันมีชีวิตเป็นที่สุดรอบ
ดังนี้. (เป็นอันว่า) ภิกษุนั้นย่อมรู้ชัดว่า เวทนาทั้งปวงอันเรา
ไม่เพลิดเพลินแล้ว จักเป็นของเย็นในอัตตภาพนี้นั่นเทียว
จนกระทั่งถึงที่สุดรอบแห่งชีวิต เพราะการแตกทำลาย
แห่งกาย ดังนี้.
สฬา. สํ. ๑๘/๒๖๐-๒๖๔/๓๗๔-๓๘๑.
หัวข้อ: Re: พุทธวจนสวัสดี
เริ่มหัวข้อโดย: สายฝน ที่ วันที่ 24 พฤษภาคม 2013, 10:20:34 น.

                    การละอวิชชาโดยตรง
หัวข้อ: Re: พุทธวจนสวัสดี
เริ่มหัวข้อโดย: สายฝน ที่ วันที่ 24 พฤษภาคม 2013, 10:22:27 น.
86 พุ ท ธ ว จ น
๒๒
ธรรมทั้งปวง ไม่ควรยึดมั่น

ภิกษุรูปหนึ่ง ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าดังนี้
ว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! ธรรมอย่างหนึ่ง มีอยู่หรือไม่หนอ
ซึ่งเมื่อภิกษุละได้แล้ว อวิชชาย่อมละไป วิชชาย่อมเกิดขึ้น
พระเจ้าข้า ?”.
ภิกษุ ! ธรรมอย่างหนึ่ง มีอยู่แล ...ฯลฯ...
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! ธรรมอย่างหนึ่ง นั้นคืออะไร
เล่าหนอ ...ฯลฯ...?”
ภิกษุ ! อวิชชานั่นแล เป็นธรรมอย่างหนึ่ง ซึ่ง
เมื่อภิกษุละได้แล้ว อวิชชาย่อมละไป วิชชาย่อมเกิดขึ้น.
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! เมื่อภิกษุรู้อยู่อย่างไร เห็นอยู่
อย่างไร อวิชชาจึงจะละไป วิชชาจึงจะเกิดขึ้น พระเจ้าข้า ?”.
ภิกษุ ! หลักธรรมอันภิกษุในกรณีนี้ได้สดับแล้ว
ย่อมมีอยู่ว่า

ฉบับ ๔ มรรค วิธีที่ ง่าย 87
“สิ่งทั้งหลายทั้งปวง อันใครๆ ไม่ควรยึดมั่น ถือมั่น
(ว่าเป็นตัวเรา-ของเรา) (สพฺเพ ธมฺมา นาลํ อภินิเวสาย)” ดังนี้.
ภิกษุ ! ถ้าภิกษุได้สดับหลักธรรมข้อนั้นอย่างนี้ว่า
สิ่งทั้งหลายทั้งปวง อันใครๆ ไม่ควรยึดมั่น ถือมั่น
ดังนี้แล้ว ไซร้,
ภิกษุนั้นย่อมรู้ยิ่งซึ่งธรรมทั้งปวง;
ครั้นรู้ยิ่งซึ่งธรรมทั้งปวงแล้ว,
ย่อมรอบรู้ซึ่งธรรมทั้งปวง;
ครั้นรอบรู้ซึ่งธรรมทั้งปวงแล้ว, ภิกษุนั้น
ย่อมเห็นซึ่ง นิมิตทั้งหลายของสิ่งทั้งปวง
โดยประการอื่น :
ย่อมเห็นซึ่ง จักษุ โดยประการอื่น;
ย่อมเห็นซึ่ง รูปทั้งหลาย โดยประการอื่น;
ย่อมเห็นซึ่ง จักขุวิญญาณ โดยประการอื่น;
ย่อมเห็นซึ่ง จักขุสัมผัส โดยประการอื่น;

88 พุ ท ธ ว จ น
ย่อมเห็นซึ่งเวทนาอันเป็นสุขก็ตาม เป็นทุกข์ก็ตาม
มิใช่ทุกข์มิใช่สุขก็ตาม ที่เกิดขึ้นเพราะจักขุสัมผัสเป็นปัจจัย
โดยประการอื่น.
(ในกรณีแห่งโสตะก็ดี ฆานะก็ดี ชิวหาก็ดี กายะก็ดี
มโนก็ดี และธรรมทั้งหลายที่สัมปยุตต์ด้วยโสตะ ฆานะ ชิวหา
กายะ และมโน นั้นๆ ก็ดี พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไว้ มีนัย
อย่างเดียวกันกับในกรณีแห่งการเห็นจักษุ และธรรมทั้งหลายที่
สัมปยุตต์ด้วยจักษุ).
ภิกษุ ! เมื่อภิกษุรู้อยู่อย่างนี้ เห็นอยู่อย่างนี้แล
อวิชชาจึงจะละไป วิชชาจึงจะเกิดขึ้น.
สฬา. สํ. ๑๘/๖๒-๖๓/๙๖.
หัวข้อ: Re: พุทธวจนสวัสดี
เริ่มหัวข้อโดย: สายฝน ที่ วันที่ 24 พฤษภาคม 2013, 10:25:28 น.
ฉบับ ๔ มรรค วิธีที่ ง่าย 89
๒๓
การเห็นซึ่งความไม่เที่ยง

     ภิกษุรูปหนึ่ง ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าดังนี้
ว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! ธรรมอย่างหนึ่ง มีอยู่หรือไม่หนอ
ซึ่งเมื่อภิกษุละได้แล้ว อวิชชาย่อมละไป วิชชาย่อมเกิดขึ้น
พระเจ้าข้า ?”
     ภิกษุ ! เมื่อภิกษุรู้อยู่เห็นอยู่ซึ่งจักษุ โดย ความ
เป็นของไม่เที่ยง, อวิชชาจึงจะละไป วิชชาจึงเกิดขึ้น;
เมื่อภิกษุ รู้อยู่เห็นอยู่ ซึ่งรูปทั้งหลาย ...ฯลฯ...;
เมื่อภิกษุ รู้อยู่เห็นอยู่ ซึ่งจักขุวิญญาณ ...ฯลฯ...;
เมื่อภิกษุ รู้อยู่เห็นอยู่ ซึ่งจักขุสัมผัส ...ฯลฯ...;
เมื่อภิกษุ รู้อยู่เห็นอยู่ ซึ่งเวทนา อันเป็นสุขก็ตาม
เป็นทุกข์ก็ตาม มิใช่ทุกข์มิใช่สุขก็ตาม ที่เกิดขึ้นเพราะ
จักขุสัมผัสเป็นปัจจัย โดยความเป็นของไม่เที่ยง, อวิชชา
จึงจะละไป วิชชาจึงจะเกิดขึ้น;

90 พุ ท ธ ว จ น
(ในกรณีแห่งโสตะ ฆานะ ชิวหา กายะ และมโน ทุกหมวด
มีข้อความอย่างเดียวกัน).
    ภิกษุ ! เมื่อภิกษุรู้อยู่อย่างนี้ เห็นอยู่อย่างนี้
อวิชชาจึงจะละไป วิชชาจึงจะเกิดขึ้น.
สฬา. สํ. ๑๘/๖๑-๖๒/๙๕.
หัวข้อ: Re: พุทธวจนสวัสดี
เริ่มหัวข้อโดย: สายฝน ที่ วันที่ 24 พฤษภาคม 2013, 10:36:08 น.
         92 พุ ท ธ ว จ น
๒๔
      ปฏิปทาเพื่อบรรลุมรรคผล
      ของคนเจ็บไข้
 
     ภิกษุทั้งหลาย ! ถ้า ธรรม ๕ ประการ ไม่เว้น
ห่างไปเสียจากคนเจ็บไข้ทุพพลภาพคนใด
ข้อนี้เป็นสิ่งที่เข้าผู้นั้นพึงหวังได้ คือ เขาจักกระทำ
ให้แจ้งได้ซึ่งเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ อันหาอาสวะมิได้
เพราะความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย ด้วยปัญญาอันยิ่งเอง
ในทิฏฐธรรมนี้ เข้าถึงแล้วแลอยู่ต่อกาลไม่นานเทียว.
ธรรม ๕ ประการนั้น เป็นอย่างไรเล่า ?
ภิกษุทั้งหลาย ! ในกรณีนี้ ภิกษุ : -
๑. เป็นผู้มีปกติตามเห็นความไม่งามในกาย อยู่
(อสุภานุปสฺสี กาเย วิหรติ)
๒. เป็นผู้มีความสำคัญว่าปฏิกูลในอาหาร อยู่
(อาหาเร ปฏิกฺกูลสญฺญี)

ฉบับ ๔ มรรค วิธีที่ ง่าย 93
๓. เป็นผู้มีความสำคัญว่าไม่น่ายินดีในโลกทั้งปวง อยู่
(สพฺพโลเก อนภิรตสญฺญี)
๔. เป็นผู้มีปกติตามเห็นว่าไม่เที่ยงในสังขารทั้งปวง อยู่
(สพฺพสงฺขาเรสุ อนิจฺจานุปสฺสี)
๕. มีมรณสัญญาอันเขาตั้งไว้ดีแล้วในภายใน อยู่.
(มรณสญฺญา โข ปนสฺส อชฺฌตฺตํ สุปฏฺฐิตา โหติ)
ภิกษุทั้งหลาย ! ธรรม ๕ ประการเหล่านี้
ไม่เว้นห่างไปเสียจากคนเจ็บไข้ทุพพลภาพคนใด ข้อนี้
เป็นสิ่งที่เขาผู้นั้นพึงหวังได้ คือเขาจักกระทำให้แจ้งได้
ซึ่งเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ อันหาอาสวะมิได้ เพราะ
ความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย ด้วยปัญญาอันยิ่งเอง
ในทิฐธรรมนี้ เข้าถึงแล้วแลอยู่ ต่อกาลไม่นานเทียว.
ปญฺจก. อํ. ๒๒/๑๖๐-๑๖๑/๑๒๑.
หัวข้อ: Re: พุทธวจนสวัสดี
เริ่มหัวข้อโดย: สายฝน ที่ วันที่ 24 พฤษภาคม 2013, 10:38:11 น.
94 พุ ท ธ ว จ น
๒๕
ปฏิปทาเพื่อบรรลุมรรคผล
ของบุคคลทั่วไป
(นัยที่ ๑)

    ภิกษุทั้งหลาย ! บุคคลใดบุคคลหนึ่ง จะเป็นภิกษุ
หรือภิกษุณีก็ตาม เจริญกระทำ�ให้มาก ซึ่งธรรม ๕ ประการ;
ผู้นั้น พึงหวังผลอย่างใดอย่างหนึ่งได้ ในบรรดา
ผลทั้งหลาย สองอย่าง กล่าวคือ อรหัตตผลในทิฐธรรม
(ภพปัจจุบัน) นั่นเทียว, หรือว่า อนาคามิผล เมื่อยังมีอุปาทิ
(เชื้อ) เหลืออยู่.
    ภิกษุทั้งหลาย ! ธรรม ๕ ประการนั้น เป็น
อย่างไรเล่า ?
๕ ประการ คือ ภิกษุ ในกรณีนี้ : -
๑. มีสติอันตนเข้าไปตั้งไว้ดีแล้วในภายในนั่นเทียว
เพื่อเกิดปัญญารู้ความเกิดขึ้นและดับไปแห่งธรรมทั้งหลาย
(อชฺฌตฺตญฺเญว สติ สุปฏฺฐิตา โหติ ธมฺมานํ อุทยตฺถคามินิยา
ปญฺญาย);

ฉบับ ๔ มรรค วิธีที่ ง่าย 95
๒. มีปกติตามเห็นความไม่งามในกาย
(อสุภานุปสฺสี กาเย วิหรติ)
๓. มีความสำคัญว่าปฏิกูลในอาหาร
(อาหาเร ปฏิกฺกูลสญฺญี)
๔. มีความสำคัญว่าในโลกทั้งปวงไม่มีอะไรที่น่ายินดี
(สพฺพโลเก อนภิรตสญฺญี)
๕. มีปกติตามเห็นความไม่เที่ยงในสังขารทั้งปวง
(สพฺพสงฺขาเรสุ อนิจฺจานุปสฺสี)
    ภิกษุทั้งหลาย ! บุคคลใดบุคคลหนึ่ง จะเป็นภิกษุ
หรือภิกษุณีก็ตาม เจริญกระทำให้มาก ซึ่งธรรม ๕ ประการ
เหล่านี้; ผู้นั้น พึงหวังผลอย่างใดอย่างหนึ่งได้ในบรรดา
ผลทั้งหลายสองอย่าง กล่าวคือ อรหัตตผลในทิฏฐธรรม
(ภพปัจจุบัน) นั่นเทียว, หรือว่า อนาคามิผล เมื่อยังมี
อุปาทิเหลืออยู่ แล.
ปญฺจก. อํ. ๒๒/๑๖๑/๑๒๒.
หัวข้อ: Re: พุทธวจนสวัสดี
เริ่มหัวข้อโดย: สายฝน ที่ วันที่ 24 พฤษภาคม 2013, 10:40:13 น.
96 พุ ท ธ ว จ น
๒๖
ปฏิปทาเพื่อบรรลุมรรคผล
ของบุคคลทั่วไป
(นัยที่ ๒)

    ภิกษุทั้งหลาย ! ธรรม ๕ ประการเหล่านี้
เมื่อบุคคลเจริญ กระทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความ
เบื่อหน่ายโดยส่วนเดียว (เอกนฺตนิพฺพิท) เพื่อความคลายกำหนัด
(วิราค) เพื่อความดับ (นิโรธ) เพื่อความสงบ (อุปสม) เพื่อความ
รู้ยิ่ง (อภิญฺญ) เพื่อความรู้พร้อม (สมฺโพธ) เพื่อนิพพาน.
๕ ประการ อย่างไรเล่า ?
๕ ประการ คือ ภิกษุในกรณีนี้ :-
๑. เป็นผู้ มีปกติตามเห็นความไม่งามในกาย อยู่;
๒. เป็นผู้ มีปกติสำคัญว่าปฏิกูลในอาหาร อยู่;
๓. เป็นผู้ มีปกติสำคัญว่าเป็นสิ่งไม่น่ายินดีในโลกทั้งปวง อยู่;
๔. เป็นผู้ มีปกติตามเห็นความไม่เที่ยงในสังขารทั้งปวง อยู่;
๕. มรณสัญญา เป็นสิ่งที่ภิกษุนั้นเข้า ไปตั้งไว้ดีแล้ว
ในภายใน อยู่.

ฉบับ ๔ มรรค วิธีที่ ง่าย 97
    ภิกษุทั้งหลาย ! ธรรม ๕ ประการเหล่านี้แล
เมื่อบุคคลเจริญ กระทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความ
เบื่อหน่ายโดยส่วนเดียว เพื่อความคลายกำหนัด เพื่อความดับ
เพื่อความสงบ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความรู้พร้อม เพื่อนิพพาน.
ปญฺจก. อํ. ๒๒/๙๔-๙๕/๖๙.
หัวข้อ: Re: พุทธวจนสวัสดี
เริ่มหัวข้อโดย: สายฝน ที่ วันที่ 24 พฤษภาคม 2013, 10:41:24 น.
98 พุ ท ธ ว จ น
๒๗
ปฏิปทาเพื่อบรรลุมรรคผล
ของบุคคลทั่วไป
(นัยที่ ๓)
    ภิกษุทั้งหลาย ! ธรรม ๕ ประการเหล่านี้
อันบุคคลเจริญแล้ว กระทำ�ให้มากแล้ว ย่อมเป็นไป เพื่อ
ความสิ้นอาสวะทั้งหลาย.
ธรรม ๕ ประการอย่างไรเล่า ?
๕ ประการ คือ ภิกษุในกรณีนี้ :-
๑. เป็นผู้ มีปกติตามเห็นความไม่งามในกาย อยู่;
๒. เป็นผู้ มีความสำคัญว่าปฏิกูลในอาหาร อยู่;
๓. เป็นผู้ มีความสำคัญว่าเป็นสิ่งไม่น่ายินดีในโลกทั้งปวง อยู่;
๔. เป็นผู้ มีปกติตามเห็นว่าไม่เที่ยงในสังขารทั้งปวง อยู่;
๕. มรณสัญญา เป็นสิ่งที่ภิกษุนั้นเข้า ไปตั้งไว้ดีแล้ว
ในภายใน อยู่.

ฉบับ ๔ มรรค วิธีที่ ง่าย 99
    ภิกษุทั้งหลาย ! ธรรม ๕ ประการเหล่านี้แล
เมื่อบุคคลเจริญ กระทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อ
ความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย.
ปญฺจก. อํ. ๒๒/๙๕/๗๐.
หัวข้อ: Re: พุทธวจนสวัสดี
เริ่มหัวข้อโดย: สายฝน ที่ วันที่ 24 พฤษภาคม 2013, 10:45:17 น.
100 พุ ท ธ ว จ น
๒๘
ปฏิปทาเพื่อบรรลุมรรคผล
ของบุคคลทั่วไป
(นัยที่ ๔)

    ภิกษุทั้งหลาย ! ธรรม ๕ ประการเหล่านี้
อันบุคคลเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว ย่อมมีเจโตวิมุตติ
เป็นผล มีเจโตวิมุตติเป็นอานิสงส์ ย่อมมีปัญญาวิมุตติ
เป็นผล มีปัญญาวิมุตติเป็นอานิสงส์.
ธรรม ๕ ประการเป็นไฉน คือ :-
    ภิกษุในธรรมวินัยนี้
๑. เป็นผู้ มีปกติตามเห็นความไม่งามในกาย อยู่;
๒. เป็นผู้ มีความสำคัญว่าปฏิกูลในอาหาร อยู่;
๓. เป็นผู้ มีความสำคัญว่าเป็นสิ่งไม่น่ายินดีในโลกทั้งปวง อยู่;
๔. เป็นผู้ มีปกติตามเห็นว่าไม่เที่ยงในสังขารทั้งปวง อยู่;
๕. มรณสัญญา เป็นสิ่งที่ภิกษุนั้นเข้า ไปตั้งไว้ดีแล้ว
ในภายใน อยู่.

ฉบับ ๔ มรรค วิธีที่ ง่าย 101
    ภิกษุทั้งหลาย ! ธรรม ๕ ประการเหล่านี้แล
เมื่อบุคคลเจริญ กระทำให้มากแล้ว ย่อมมีเจโตวิมุตติ
เป็นผล มีเจโตวิมุตติเป็นอานิสงส์ ย่อมมีปัญญาวิมุตติ
เป็นผล และมีปัญญาวิมุตติเป็นอานิสงส์.
เมื่อใด ภิกษุเป็นผู้มีเจโตวิมุตติและปัญญาวิมุตติ
เมื่อนั้น ภิกษุนี้เรียกว่า เป็นผู้ถอนลิ่มสลักขึ้นได้ดังนี้บ้าง
ว่าเป็นผู้รื้อเครื่องแวดล้อมได้ ดังนี้บ้าง ว่าเป็นผู้ถอน
เสาระเนียดขึ้นได้ ดังนี้บ้าง ว่าเป็นผู้ถอดกลอนออกได้
ดังนี้บ้าง ว่าเป็นผู้ไกลจากข้าศึกปลดธงลงได้ ปลงภาระลงได้
ไม่ประกอบด้วยวัฏฏะ ดังนี้บ้าง.
    ภิกษุทั้งหลาย ! ภกิ ษชุ อื่ วา่ เปน็ ผถู้ อนลมิ่ สลกั ขนึ้
ได้อย่างไร คือ ภิกษุในธรรมวินัยนี้เป็นผู้ละอวิชชาเสียได้
ถอนรากขึ้นแล้ว ทำให้เป็นเหมือนตาลยอดด้วน ทำไม่ให้มี
ไม่ให้เกิดขึ้นอีกต่อไปเป็นธรรมดา. ภิกษุทั้งหลาย ! ภิกษุชื่อ
ว่าเป็นผู้ถอนลิ่มสลักขึ้นได้อย่างนี้ แล.

102 พุ ท ธ ว จ น
ภิกษุเป็นผู้รื้อเครื่องแวดล้อมได้อย่างไร คือภิกษุ
ในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ละชาติสงสารที่เป็นเหตุนำให้เกิดใน
ภพใหม่ต่อไปได้ ถอนรากขึ้นแล้ว ทำให้เป็นเหมือนตาล
ยอดด้วน ทำไม่ให้มี ไม่ให้เกิดขึ้นอีกต่อไปเป็นธรรมดา
ภิกษุชื่อว่าเป็นผู้รื้อเครื่องแวดล้อมได้อย่างนี้ แล.
ภิกษุชื่อว่าเป็นผู้ถอนเสาระเนียดขึ้นได้อย่างไร
คือ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ละตัณหาเสียได้ ถอนรากขึ้นแล้ว
ทำให้เป็นเหมือนตาลยอดด้วน ทำไม่ให้มี ไม่ให้เกิดขึ้นอีก
ต่อไปเป็นธรรมดา. ภิกษุชื่อว่าเป็นผู้ถอนเสาระเนียดขึ้นได้
อย่างนี้ แล.
ภิกษุชื่อว่าเป็นผู้ถอดกลอนออกได้อย่างไร คือ
ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ละโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ ประการ
เสียได้ ถอนรากขึ้นแล้ว ทำให้เป็นเหมือนตาลยอดด้วน
ทำไม่ให้มี ไม่ให้เกิดขึ้นอีกต่อไปเป็นธรรมดา. ภิกษุชื่อว่า
เป็นผู้ถอดกลอนออกได้อย่างนี้ แล.

ฉบับ ๔ มรรค วิธีที่ ง่าย 103
   ภิกษุชื่อว่าเป็นผู้ไกลจากข้าศึก ปลดธงลงได้
ปลงภาระลงได้ ไม่ประกอบด้วยวัฏฏะอย่างไร คือ ภิกษุใน
ธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ละอัส๎มิมานะเสียได้ ถอนรากขึ้นแล้ว
ทำให้เป็นเหมือนตาลยอดด้วน ทำไม่ให้มี ไม่ให้เกิดขึ้นอีก
ต่อไปเป็นธรรมดา. ภิกษุชื่อว่าเป็นผู้ไกลจากข้าศึก ปลดธง
ลงได้ ปลงภาระลงได้ ไม่ประกอบด้วยวัฏฏะใดๆ อย่างนี้ แล.
ปญฺจก. อํ. ๒๒/๙๕-๙๗/๗๑.
หัวข้อ: Re: พุทธวจนสวัสดี
เริ่มหัวข้อโดย: สายฝน ที่ วันที่ 24 พฤษภาคม 2013, 10:49:39 น.
           สัมมาสังกัปปะ
          (ความดำริชอบ)

106 พุ ท ธ ว จ น
๒๙
ผู้มีความเพียรตลอดเวลา

ภิกษุทั้งหลาย ! เมื่อภิกษุกำลังเดินอยู่ ถ้าเกิด
ครุ่นคิดด้วยความครุ่นคิดในกาม หรือครุ่นคิดด้วยความ
ครุ่นคิดในทางเดือดแค้น หรือครุ่นคิดด้วยความครุ่นคิด
ในทางทำผู้อื่นให้ลำบากเปล่าๆ ขึ้นมา, และภิกษุก็ไม่รับเอา
ความครุ่นคิดนั้นไว้ สละทิ้งไป ถ่ายถอนออก ทำให้สิ้นสุดลงไป
จนไม่มีเหลือ; ภิกษุที่เป็นเช่นนี้ แม้กำลังเดินอยู่ ก็เรียกว่า
เป็นผู้ทำความเพียรเผากิเลส รู้สึกกลัวต่อสิ่งอันเป็นบาป
เป็นคนปรารภความเพียร อุทิศตนในการเผากิเลสอยู่เนืองนิจ.
ภิกษุทั้งหลาย ! เมื่อภิกษุกำลังยืนอยู่ ถ้าเกิด
ครุ่นคิดด้วยความครุ่นคิดในกาม หรือครุ่นคิดด้วยความ
ครุ่นคิดในทางเดือดแค้น หรือครุ่นคิดด้วยความครุ่นคิด
ในทางทำผู้อื่นให้ลำบากเปล่าๆ ขึ้นมา, และภิกษุก็ไม่รับเอา
ความครุ่นคิดนั้นไว้ สละทิ้งไป ถ่ายถอนออก ทำให้สิ้นสุดลง
ไปจนไม่มีเหลือ; ภิกษุที่เป็นเช่นนี้ แม้กำลังยืนอยู่ ก็เรียกว่า

ฉบับ ๔ มรรค วิธีที่ ง่าย 107
เป็นผู้ทำความเพียรเผากิเลส รู้สึกกลัวต่อสิ่งอันเป็นบาป
เป็นคนปรารภความเพียร อุทิศตนในการเผากิเลสอยู่เนืองนิจ.
ภิกษุทั้งหลาย ! เมื่อภิกษุกำลังนั่งอยู่ ถ้าเกิด
ครุ่นคิดด้วยความครุ่นคิดในกาม หรือครุ่นคิดด้วยความ
ครุ่นคิดในทางเดือดแค้น หรือครุ่นคิดด้วยความครุ่นคิด
ในทางทำผู้อื่นให้ลำบากเปล่าๆ ขึ้นมา, และภิกษุก็ไม่รับเอา
ความครุ่นคิดนั้นไว้สละทิ้งไป ถ่ายถอนออก ทำให้สิ้นสุดลงไป
จนไม่มีเหลือ; ภิกษุที่เป็นเช่นนี้แม้กำลังนั่งอยู่ ก็เรียกว่า
เป็นผู้ทำความเพียรเผากิเลส รู้สึกกลัวต่อสิ่งอันเป็นบาป
เป็นคนปรารภความเพียร อุทิศตนในการเผากิเลสอยู่เนืองนิจ.
ภิกษุทั้งหลาย ! เมื่อภิกษุกำลังนอนอยู่ ถ้าเกิด
ครุ่นคิดด้วยความครุ่นคิดในกาม หรือครุ่นคิดด้วยความ
ครุ่นคิดในทางเดือดแค้น หรือครุ่นคิดด้วยความครุ่นคิด
ในทางทำผู้อื่นให้ลำบากเปล่าๆ ขึ้นมา, และภิกษุก็ไม่รับ
เอาความครุ่นคิดนั้นไว้ สละทิ้งไป ถ่ายถอนออก ทำให้สิ้นสุด
ลงไปจนไม่มีเหลือ; ภิกษุที่เป็นเช่นนี้แม้กำลังนอนอยู่

108 พุ ท ธ ว จ น
ก็เรียกว่า เป็นผู้ทำความเพียรเผากิเลส รู้สึกกลัวต่อสิ่งอัน
เป็นบาป เป็นคนปรารภความเพียร อุทิศตนในการเผา
กิเลสอยู่เนืองนิจแล.
จตุกฺก. อํ. ๒๑/๑๖-๑๘/๑๑.
หัวข้อ: Re: พุทธวจนสวัสดี
เริ่มหัวข้อโดย: สายฝน ที่ วันที่ 24 พฤษภาคม 2013, 10:52:04 น.
ฉบับ ๔ มรรค วิธีที่ ง่าย 109
๓๐
ผู้เกียจคร้านตลอดเวลา

   ภิกษุทั้งหลาย ! เมื่อภิกษุกำลังเดินอยู่ ถ้าเกิด
ครุ่นคิดด้วยความครุ่นคิดในกาม หรือครุ่นคิดด้วย
ความครุ่นคิดในทางเดือดแค้น หรือครุ่นคิดด้วยความ
ครุ่นคิดในทางทำผู้อื่นให้ลำบากเปล่าๆ ขึ้นมา, และภิกษุ
ก็รับเอาความครุ่นคิดนั้นไว้ ไม่สละทิ้ง ไม่ถ่ายถอนออก
ไม่ทำให้สิ้นสุดลงไปจนไม่มีเหลือ; ภิกษุที่เป็นเช่นนี้
แม้กำลังเดินอยู่ ก็เรียกว่า เป็นผู้ไม่ทำความเพียรเผากิเลส
ไม่รู้สึกกลัวต่อสิ่งอันเป็นบาป เป็นคนเกียจคร้าน มีความเพียร
อันเลวทรามอยู่เนืองนิจ.
เมื่อภิกษุกำลังยืนอยู่ ถ้าเกิดครุ่นคิดด้วยความ
ครุ่นคิดในกาม หรือครุ่นคิดด้วยความครุ่นคิดในทาง
เดือดแค้น หรือครุ่นคิดด้วยความครุ่นคิดในทางทำผู้อื่น
ให้ลำบากเปล่าๆ ขึ้นมา, และภิกษุก็รับเอาความครุ่นคิดนั้นไว้
ไม่สละทิ้ง ไม่ถ่ายถอนออก ไม่ทำให้สิ้นสุดลงไป จนไม่มีเหลือ;

110 พุ ท ธ ว จ น
   ภิกษุที่เป็นเช่นนี้ แม้กำลังยืนอยู่ ก็เรียกว่า เป็นผู้ไม่ทำ
ความเพียรเผากิเลส ไม่รู้สึกกลัวต่อสิ่งอันเป็นบาป เป็น
คนเกียจคร้าน มีความเพียรอันเลวทรามอยู่เนืองนิจ.
เมื่อภิกษุกำลังนั่งอยู่ ถ้าเกิดครุ่นคิดด้วยความ
ครุ่นคิดในกาม หรือครุ่นคิดด้วยความครุ่นคิดในทาง
เดือดแค้น หรือครุ่นคิดด้วยความครุ่นคิดในทางทำผู้อื่น
ให้ลำบากเปล่าๆ ขึ้นมา, และภิกษุก็รับเอาความครุ่นคิด
นั้นไว้ ไม่สละทิ้ง ไม่ถ่ายถอนออก ไม่ทำให้สิ้นสุดลงไป
จนไม่มีเหลือ; ภิกษุที่เป็นเช่นนี้ แม้กำลังนั่งอยู่ ก็เรียกว่า
เป็นผู้ไม่ทำความเพียรเผากิเลส ไม่รู้สึกกลัวต่อสิ่งอันเป็นบาป
เป็นคนเกียจคร้าน มีความเพียรอันเลวทรามอยู่เนืองนิจ.
เมื่อภิกษุกำลังนอนอยู่ ถ้าเกิดครุ่นคิดด้วย
ความครุ่นคิดในกาม หรือครุ่นคิดด้วยความครุ่นคิดใน
ทางเดือดแค้น หรือครุ่นคิดด้วยความครุ่นคิดในทางทำ
ผู้อื่นให้ลำบากเปล่าๆ ขึ้นมา, และภิกษุก็รับเอาความครุ่นคิด
นั้นไว้ ไม่สละทิ้ง ไม่ถ่ายถอนออก ไม่ทำให้สิ้นสุดลงไป

ฉบับ ๔ มรรค วิธีที่ ง่าย 111
จนไม่มีเหลือ; ภิกษุที่เป็นเช่นนี้ แม้กำ�ลังนอนอยู่ ก็เรียกว่า
เป็นผู้ไม่ทำความเพียรเผากิเลส ไม่รู้สึกกลัวต่อสิ่งอันเป็นบาป
เป็นคนเกียจคร้าน มีความเพียรอันเลวทรามอยู่เนืองนิจ.
จตุกฺก. อํ. ๒๑/๑๖/๑๑.
หัวข้อ: Re: พุทธวจนสวัสดี
เริ่มหัวข้อโดย: สายฝน ที่ วันที่ 24 พฤษภาคม 2013, 10:56:13 น.
       
    ปฏิปทาของการสิ้นอาสวะ ๔ แบบ

       ภิกษุทั้งหลาย !
ปฏิปทา ๔ ประการ เหล่านี้ มีอยู่;
คือ :-
   ปฏิบัติลำบาก รู้ได้ช้า ๑,
   ปฏิบัติลำบาก รู้ได้เร็ว ๑,
   ปฏิบัติสบาย รู้ได้ช้า ๑,
   ปฏิบัติสบาย รู้ได้เร็ว ๑.

ฉบับ ๔ มรรค วิธีที่ ง่าย 115
แบบปฏิบัติลำบาก รู้ได้ช้า
   ภิกษุทั้งหลาย ! ในกรณีนี้ ภิกษุ เป็นผู้มีปกติ
เห็นความไม่งามในกาย มีสัญญาว่าปฏิกูลในอาหาร
มีสัญญาในโลกทั้งปวง โดยความเป็นของไม่น่ายินดี
เป็นผู้มีปกติตามเห็นความไม่เที่ยงในสังขารทั้งปวง
มรณสัญญาก็เป็นสิ่งที่เขาตั้งไว้ดีแล้วในภายใน.
ภิกษุนั้นเข้าไปอาศัยธรรม เป็นกำลังของพระเสขะ
๕ ประการเหล่านี้อยู่ คือ สัทธาพละ หิริพละ โอตตัปปพละ
วิริยพละ ปัญญาพละ; แต่ อินทรีย์ ๕ ประการเหล่านี้ของ
เธอนั้น ปรากฏว่าอ่อน คือ สัทธินทรีย์ วิริยินทรีย์ สตินทรีย์
สมาธินทรีย์ ปัญญินทรีย์. เพราะเหตุที่อินทรีย์ทั้งห้าเหล่านี้
ยังอ่อน ภิกษุนั้นจึง บรรลุอนันตริยกิจ เพื่อความสิ้นอาสวะ
ได้ช้า :
   ภิกษุทั้งหลาย !
นี้เรียกว่า ปฏิบัติลำบาก รู้ได้ช้า .

116 พุ ท ธ ว จ น
แบบปฏิบัติลำบาก รู้ได้เร็ว
   ภิกษุทั้งหลาย ! ในกรณีนี้ ภิกษุ เป็นผู้มีปกติ
เห็นความไม่งามในกาย มีสัญญาว่า ปฏิกูลในอาหาร มี
สัญญาในโลกทั้งปวง โดยความเป็นของไม่น่ายินดี
เป็นผู้มีปกติตามเห็นความไม่เที่ยงในสังขารทั้งปวง
มรณสัญญาก็เป็นสิ่งที่เขาตั้งไว้ดีแล้วในภายใน.
ภิกษุนั้นเข้าไปอาศัยธรรม เป็นกำลังของพระเสขะ
๕ ประการเหล่านี้อยู่ คือ สัทธาพละ หิริพละ โอตตัปปพละ
วิริยพละ ปัญญาพละ; แต่ อินทรีย์ ๕ ประการเหล่านี้
ของเธอนั้น ปรากฏว่ามีประมาณยิ่ง (แก่กล้า) คือ
สัทธินทรีย์ วิริยินทรีย์ สตินทรีย์ สมาธินทรีย์ ปัญญินทรีย์.
เพราะเหตุที่อินทรีย์ทั้งห้าเหล่านี้มีประมาณยิ่ง ภิกษุนั้น
จึง บรรลุอนันตริยกิจ เพื่อความสิ้นอาสวะได้เร็ว :
ภิกษุทั้งหลาย !
นี้เรียกว่า ปฏิบัติลำบาก รู้ได้เร็ว.
หัวข้อ: Re: พุทธวจนสวัสดี
เริ่มหัวข้อโดย: สายฝน ที่ วันที่ 24 พฤษภาคม 2013, 10:57:46 น.
แบบปฏิบัติสบาย รู้ได้ช้า

    ภิกษุทั้งหลาย ! ในกรณีนี้ ภิกษุ เพราะสงัด
จากกามและอกุศลธรรมทั้งหลาย จึงบรรลุปฐมฌาน
ทุติยฌาน... ตติยฌาน... จตุตถฌาน (มีรายละเอียดดังที่
แสดงแล้วในที่ทั่วไป) แล้วแลอยู่.
ภิกษุนั้นเข้าไปอาศัยธรรม เป็นกำลังของพระเสขะ
๕ ประการเหล่านี้อยู่ คือ สัทธาพละ หิริพละ โอตตัปปพละ
วิริยพละ ปัญญาพละ; แต่ อินทรีย์ ๕ ประการเหล่านี้
ของเธอนั้น ปรากฏว่าอ่อน คือ สัทธินทรีย์ วิริยินทรีย์
สตินทรีย์ สมาธินทรีย์ ปัญญินทรีย์. เพราะเหตุที่อินทรีย์
ทั้งห้าเหล่านี้ยังอ่อน ภิกษุนั้น จึง บรรลุอนันตริยกิจ
เพื่อความสิ้นอาสวะได้ช้า :
    ภิกษุทั้งหลาย !
นี้เรียกว่า ปฏิบัติสบาย รู้ได้ช้า .
หัวข้อ: Re: พุทธวจนสวัสดี
เริ่มหัวข้อโดย: สายฝน ที่ วันที่ 24 พฤษภาคม 2013, 10:58:41 น.
118 พุ ท ธ ว จ น
แบบปฏิบัติสบาย รู้ได้เร็ว

    ภิกษุทั้งหลาย ! ในกรณีนี้ ภิกษุ เพราะสงัด
จากกามและอกุศลธรรมทั้งหลาย จึงบรรลุปฐมฌาน
ทุติยฌาน... ตติยฌาน... จตุตถฌาน ... แล้วแลอยู่.
ภิกษุนั้นเข้าไปอาศัยธรรม เป็นกำ�ลังของพระเสขะ
๕ ประการเหล่านี้อยู่ คือ สัทธาพละ หิริพละ โอตตัปปพละ
วิริยพละ ปัญญาพละ; แต่ อินทรีย์ ๕ ประการเหล่านี้ของ
เธอนั้น ปรากฏว่ามีประมาณยิ่ง คือ สัทธินทรีย์ วิริยินทรีย์
สตินทรีย์ สมาธินทรีย์ ปัญญินทรีย์. เพราะเหตุที่อินทรีย์
ทั้งห้าเหล่านี้มีประมาณยิ่ง ภิกษุนั้นจึง บรรลุอนันตริยกิจ
เพื่อความสิ้นอาสวะได้เร็ว :
    ภิกษุทั้งหลาย !
นี้เรียกว่า ปฏิบัติสบาย รู้ได้เร็ว.
ภิกษุทั้งหลาย ! เหล่านี้แล ปฏิปทา ๔ ประการ.
จตุกฺก. อํ. ๒๑/๒๐๒-๒๐๔/๑๖๑-๑๖๒.
หัวข้อ: Re: พุทธวจนสวัสดี
เริ่มหัวข้อโดย: สายฝน ที่ วันที่ 24 พฤษภาคม 2013, 11:00:18 น.
     
           สาธุ
หัวข้อ: Re: พุทธวจนสวัสดี
เริ่มหัวข้อโดย: สายฝน ที่ วันที่ 24 พฤษภาคม 2013, 11:03:01 น.
คำสอนของพระองค์ เป็นอกาลิโก...  :flower: :flower: :flower:

ถูกต้องแล้วครับ