eXtreme Karaoke
เครื่องเสียง / ภาพ => เครื่องเสียงกลางแจ้ง (Public Address,Pro Audio Sound Reinforcement System) => ข้อความที่เริ่มโดย: chatchai123 ที่ วันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2014, 18:28:10 น.
-
อยากทราบครับว่าถ้าเอา เพาเวอร์aj L 5000 มาขับซับ aj718s ข้างละ2 จะแรงไปมั๊ย กลัวลำโพงรับไม่ไหวพอดีว่าจะซื้อเพาเวอร์ใหม่ ขอบคุณล่วงหน้าครับ
-
อยากทราบครับว่าถ้าเอา เพาเวอร์aj L 5000 มาขับซับ aj718s ข้างละ2 จะแรงไปมั๊ย กลัวลำโพงรับไม่ไหวพอดีว่าจะซื้อเพาเวอร์ใหม่ ขอบคุณล่วงหน้าครับ
แรงก็อย่าเร่งหมดสิครับ
-
แรงก็อย่าเร่งหมดสิครับ
นั่นจินะ ผมเห็นคำถามแบบนี้บ่อยๆก็งง ถ้าเพาเวอร์มันแรงกว่าลำโพง แล้วจะเปิดให้มันสุดแรงกันรึไงน๊า
เอาแค่เสียงมันดังพอที่ลำโพง + หูคนฟังไม่พังก็น่าจะพอแล้ว
-
นั่นจินะ ผมเห็นคำถามแบบนี้บ่อยๆก็งง ถ้าเพาเวอร์มันแรงกว่าลำโพง แล้วจะเปิดให้มันสุดแรงกันรึไงน๊า
เอาแค่เสียงมันดังพอที่ลำโพง + หูคนฟังไม่พังก็น่าจะพอแล้ว
บางครั้ง คนที่ไม่รู้จริงๆ ก็อยากได้ความรู้และความมั่นใจในการเลือกซื้อ มั้งครับพี่ :cheer1: :thank1:
-
บางครั้ง คนที่ไม่รู้จริงๆ ก็อยากได้ความรู้และความมั่นใจในการเลือกซื้อ มั้งครับพี่ :cheer1: :thank1:
ถามจริง มาสด้าน้าขวัญ ขับได้เร็วสุดเท่าไหร่ เคยเหยียบหมดไม๊
-
ซื้อแรงๆ ไว้ก่อนดีกว่าคับ ลองคิดดูคับ เปิดดังๆ แต่ไฟขึ้นเม็ดเดียว กับเปิดดังเท่ากันแต่ไฟคลิป ดีแน่นอนถ้าท่านไม่บ้าพลังมากครับผม จบแน่นอน ถ้าซื้อมาแล้วคิดว่าแรงไปยังเปลี่ยนมาขับเบสได้อีก คุ้มจริงๆ
-
ซื้อเลยครับ แล้วปรับลดที่สัญญาณอินพุทเอา
-
บางครั้ง คนที่ไม่รู้จริงๆ ก็อยากได้ความรู้และความมั่นใจในการเลือกซื้อ มั้งครับพี่ :cheer1: :thank1:
ใช่ครับเพื่อความมั่นใจในการซื้อครับ และขอขอบคุณทุกท่านที่ชี้แนะครับ
-
ถ้ามันแรง ก็เปิดเบาๆ จิครับ หัวหน้า :o^: :o^:
-
ถ้ามันแรง ก็เปิดเบาๆ จิครับ หัวหน้า :o^: :o^:
แม่นคับครู แรงไว้ไม่ได้ใช้ก็ไม่เสียปล่าวครับ
-
ผมกำลังคิดว่าจะหา สิบล้อ มาให้แม่ครัวขับไปจ่ายตลาดแทนสองล้ออยู่เหมือนกันครับ
-
ผมกำลังคิดว่าจะหา สิบล้อ มาให้แม่ครัวขับไปจ่ายตลาดแทนสองล้ออยู่เหมือนกันครับ
ดีครับ ใส่ได้เยอะ :hap3: :hap3:
PA กับโฮมยูส ต่างกันตรงพอกับไม่พอนี่แหละครับ
-
พาวเวอร์แอมป์ 1 ตัว ลำโพง 8 โอห์ม ข้างละตัว/ตู้ ให้เสียงดนตรีดีที่สุด เพราะที่สุด
พาวเวอร์แอมป์ 1 ตัว 4 โอห์ม ข้างละ 2 ตัว/ตู้ เพราะรองลงมา (พอไหว)
พาวเวอร์แอมป์ 1 ตัว ลำโพง 2 โอห์ม ข้างละ 4 ตัว/ตู้ เหมาะสำหรับเสียงพูดโฆษณากระจายเสียงเท่านั้น ย้ำว่าเท่านั้น
เล่นพาวเวอร์แรงสูง กับลำโพงหลายคู่ เหลือ 2 โอห์ม เวลาสวิงเหลืออิมพีแด๊นซ์เท่ากับ 0 (ศูนย์) โอห์ม
เหมือนจับสายลำโพงช๊อตกัน แล้วมันจะเหลืออะไร พากันพังทั้งคู่
เสียงพูดกับเสียงดนตรีต่างกันครับ
-
พาวเวอร์แอมป์ 1 ตัว ลำโพง 8 โอห์ม ข้างละตัว/ตู้ ให้เสียงดนตรีดีที่สุด เพราะที่สุด
พาวเวอร์แอมป์ 1 ตัว 4 โอห์ม ข้างละ 2 ตัว/ตู้ เพราะรองลงมา (พอไหว)
พาวเวอร์แอมป์ 1 ตัว ลำโพง 2 โอห์ม ข้างละ 4 ตัว/ตู้ เหมาะสำหรับเสียงพูดโฆษณากระจายเสียงเท่านั้น ย้ำว่าเท่านั้น
ถ้าเป็นสมการตรงแบบนี้ คราวหน้าผมจะพยายามทำให้ได้ที่ 16 โอมส์ครับจะได้เพราะฝุดๆ ;D
เมื่อสองอาทิตย์ที่แล้วไปรับลำโพงที่บางพลี ว่าจะเลยไปชวนป๋ากินเบียร์นึกขึ้นได้ว่าร้านปิดแล้ว เลยไม่ไป อิอิ
-
ถ้าเป็นสมการตรงแบบนี้ คราวหน้าผมจะพยายามทำให้ได้ที่ 16 โอมส์ครับจะได้เพราะฝุดๆ ;D
เมื่อสองอาทิตย์ที่แล้วไปรับลำโพงที่บางพลี ว่าจะเลยไปชวนป๋ากินเบียร์นึกขึ้นได้ว่าร้านปิดแล้ว เลยไม่ไป อิอิ
ร้านอื่นก็มีแยะ ว้ากะลังหาเพื่อนอยู่เชียว
-
รุ่นนี้ ของเขามี limiter ในตัวอยู่แล้วครับ ถ้าลำโพง power rate(RMS) น้อยๆก็ตั้ง limiter ไว้ให้เหมาะสม
เช่น จะขับ ดอก 1200 W ข้างละ2 ที่4โอห์ม ท่านก็สามารถตั้ง limiter ให้ match กับ ลำโพงได้ โดยใช้ Voltage Peak Limiter (VPL)
ใช้สูตร P=V2/R จะได้ว่า
1200(2)=(VRMS)2/4
VRMS=97.79 หรือประมาณ 100 V ต่อข้าง
และ จาก Vpeak=1.414VRMS จะได้
Vpeak=141v
เมื่อหาค่าได้แล้ว ก็ไปปรับ VPL Dip switch ให้เป็น 141
เท่านี้ท่านก็จะสามารถใช้ amp ของท่าน ขับดอก 1200 W /ได้อย่างสบายใจ โดยเปิด volume ข้างหน้าจนสุด
จากความเห็นส่วนตัวของผมคิดว่า ถ้างบถึง L5000 ก็ซื้อไว้ใช้เถอะครับ ไม่เสียหลาย ดีกว่าเวลาที่เราซื้อมาพอใช้ได้ แล้วถึงเวลาต้องการขยับขยาย อยากขาย power ตัวเดิม เพื่อซื้อตัวใหม่ ราคามันจะตก แล้วมาเสียดายภายหลัง :o^:
-
ร้านอื่นก็มีแยะ ว้ากะลังหาเพื่อนอยู่เชียว
พลาดดดดด :cry: :cry: :cry: :cry:
-
รุ่นนี้ ของเขามี limiter ในตัวอยู่แล้วครับ ถ้าลำโพง power rate(RMS) น้อยๆก็ตั้ง limiter ไว้ให้เหมาะสม
เช่น จะขับ ดอก 1200 W ข้างละ2 ที่4โอห์ม ท่านก็สามารถตั้ง limiter ให้ match กับ ลำโพงได้ โดยใช้ Voltage Peak Limiter (VPL)
ใช้สูตร P=V2/R จะได้ว่า
1200(2)=(VRMS)2/4
VRMS=97.79 หรือประมาณ 100 V ต่อข้าง
และ จาก Vpeak=1.414VRMS จะได้
Vpeak=141v
เมื่อหาค่าได้แล้ว ก็ไปปรับ VPL Dip switch ให้เป็น 141
เท่านี้ท่านก็จะสามารถใช้ amp ของท่าน ขับดอก 1200 W /ได้อย่างสบายใจ โดยเปิด volume ข้างหน้าจนสุด
จากความเห็นส่วนตัวของผมคิดว่า ถ้างบถึง L5000 ก็ซื้อไว้ใช้เถอะครับ ไม่เสียหลาย ดีกว่าเวลาที่เราซื้อมาพอใช้ได้ แล้วถึงเวลาต้องการขยับขยาย อยากขาย power ตัวเดิม เพื่อซื้อตัวใหม่ ราคามันจะตก แล้วมาเสียดายภายหลัง :o^:
หมอมาทีไร ผมปวดหัวตลอด ทุกวันนี้แค่บวกลบคูนหารยังต้องใช้เครื่องคิดเลขแล้วคร้าบบบบบ
สำหรับผม.....ใช้ฟังเอาอย่างเดียว ดอกที่มันจะกลับบ้านมันมีอาการก่อนทุกครั้ง แต่คนเล่นไม่รู้เอง
-
หมอมาทีไร ผมปวดหัวตลอด ทุกวันนี้แค่บวกลบคูนหารยังต้องใช้เครื่องคิดเลขแล้วคร้าบบบบบ
สำหรับผม.....ใช้ฟังเอาอย่างเดียว ดอกที่มันจะกลับบ้านมันมีอาการก่อนทุกครั้ง แต่คนเล่นไม่รู้เอง
อาจไม่ต้องคำนวนถึงขนาดนี้ก็ได้ครับ ในคู่มือของ power น่าจะมีตารางบอกไวเรียบร้อยแล้วว่า ถ้าต้องการpower rate output ที่ความต้านทาน เท่าไรควรปรับ VPL ไว้ที่ค่าใด
อันนี้ผมแค่แสดงวิธีคิดให้ทุกท่านได้เข้าใจ
-
อาจไม่ต้องคำนวนถึงขนาดนี้ก็ได้ครับ ในคู่มือของ power น่าจะมีตารางบอกไวเรียบร้อยแล้วว่า ถ้าต้องการpower rate output ที่ความต้านทาน เท่าไรควรปรับ VPL ไว้ที่ค่าใด
อันนี้ผมแค่แสดงวิธีคิดให้ทุกท่านได้เข้าใจ
ขอบคุณครับ
ผมใชเอเจ 3000vz ขับดอก p15-mb300 ข้างละสองใบมาโดนแล้ว ยังบ่ขาดจักเท่่อน กะไซ๊หูเบิ่งเอาตี้ล่ะ
เหลาให้ฟังซื่อๆ บ่ได้รั้นตำราเด้อ :thank1:
-
รุ่นนี้ ของเขามี limiter ในตัวอยู่แล้วครับ ถ้าลำโพง power rate(RMS) น้อยๆก็ตั้ง limiter ไว้ให้เหมาะสม
เช่น จะขับ ดอก 1200 W ข้างละ2 ที่4โอห์ม ท่านก็สามารถตั้ง limiter ให้ match กับ ลำโพงได้ โดยใช้ Voltage Peak Limiter (VPL)
ใช้สูตร P=V2/R จะได้ว่า
1200(2)=(VRMS)2/4
VRMS=97.79 หรือประมาณ 100 V ต่อข้าง
และ จาก Vpeak=1.414VRMS จะได้
Vpeak=141v
เมื่อหาค่าได้แล้ว ก็ไปปรับ VPL Dip switch ให้เป็น 141
เท่านี้ท่านก็จะสามารถใช้ amp ของท่าน ขับดอก 1200 W /ได้อย่างสบายใจ โดยเปิด volume ข้างหน้าจนสุด
จากความเห็นส่วนตัวของผมคิดว่า ถ้างบถึง L5000 ก็ซื้อไว้ใช้เถอะครับ ไม่เสียหลาย ดีกว่าเวลาที่เราซื้อมาพอใช้ได้ แล้วถึงเวลาต้องการขยับขยาย อยากขาย power ตัวเดิม เพื่อซื้อตัวใหม่ ราคามันจะตก แล้วมาเสียดายภายหลัง :o^:
ถามต่อ ครับผม
แล้วที่เขาเรียกกันว่า headroom มันเกี่ยวข้องอะไรกับเพาเวอร์แอมป์
เราไหม ครับ ผมยังไม่ค่อยเข้าใจ ได้ยินเขาพูดว่า แอมป์รุ่นนี้ headroom สูงกว่ารุ่นนี้
ประมาณนี้นะครับ ถ้าพูดผิดขออภัย ครับ
:thank1:
-
ถามต่อ ครับผม
แล้วที่เขาเรียกกันว่า headroom มันเกี่ยวข้องอะไรกับเพาเวอร์แอมป์
เราไหม ครับ ผมยังไม่ค่อยเข้าใจ ได้ยินเขาพูดว่า แอมป์รุ่นนี้ headroom สูงกว่ารุ่นนี้
ประมาณนี้นะครับ ถ้าพูดผิดขออภัย ครับ
:thank1:
แอมป์รุ่นนี้มี input sensitivity แบบ fixed gain 8 step ถ้าเทียบ ในseries เดียวกันแล้ว เมื่อเราปรับ input sensitivity เท่ากัน ตัวที่กำลังมากกว่าก็จะมี headroomที่สูงกว่าครับ
ส่วนเรื่อง headroom อ่านต่อได้ที่นี่ครับ http://www.tiggersound.com/webboard/index.php?topic=264325.135 (http://www.tiggersound.com/webboard/index.php?topic=264325.135)
-
ช่วยเสริมตามความเข้าใจแบบบ้านๆ ในเรื่องของเฮดรูมแอมป์นะครับ
เฮด = หัว
รูม = ห้อง , พื้นที่ว่าง
เฮดรูม = พื้นที่ว่างบนหัว
เฮดรูมสูง = พื้นที่ว่างบนหัวสูง ยิ่งสูงยิ่งมีพื้นที่ว่างมาก แสดงว่าตัวเลขของเฮดรูมยิ่งสูงยิ่งดี
ความสัมพันธ์ของเฮดรูมแอมป์
เฮดรูมตามความเข้าใจของผม ย่อมมีความสัมพันธ์โดยตรงกับ หลายเรื่อง
เช่น Dynamic Range ซึ่งหมายถึงความกว้างระหว่างเสียงเบาสุด กับ เสียงดังแรงสุด
เพราะเสียงที่เบาสุดกับดังแรงสุดจะเป็นเครื่องชี้ถึงความไพเราะของเสียงเพลง
(ฟังนักร้องที่สามารถร้องแผ่วเบาลงแล้วพลันแผดเสียงได้ดังมากทันที หายากมากที่ทำได้)
แม้ว่าคุณจะใช้แอมป์กำลังแค่ 25 วัตต์
แต่สามารถขับลำโพงทุกชนิดในโลกให้ได้เสียงเพลงเสียงดนตรีที่ไพเราะ
ซึ่งถ้าเอาแอมป์หลายร้อยวัตต์มาขับคุณอาจผิดหวังเพราะมันเสียงคลิปเสียแล้ว
ทำไมนั่นหรือ ผู้ออกแบบแอมป์สามารถอธิบายได้ครับ
การเลือกซื้อแอมป์มาใช้ จึงต้องดูความสามารถของลำโพงของเราเป็นที่ตั้งก่อน
( หมายถึงหรือไปเกี่ยวข้องกับอิมพีแด๊นซ์ 4 หรือ 8 โอห์ม ของลำโพงอีกด้วย คืออิมพีแด๊นซ์ลำโพงต่ำ ต้องการแอมป์ที่มีเฮดรูมสูงกว่าครับ)
เลือกซื้อแอมป์ที่สามารถควบคุมลำโพงของเราได้พอเพียง ใช้ตลอดชีวิตก็ไม่พัง
แถมได้ทั้ง ไดนามิคเฮดรูม แท้ๆ ที่ทำให้เสียงดนตรีเราเพราะกว่าเจ้าอื่น
คงไม่จบง่ายๆ มั้ง เรื่องเฮดรูมนี่.....
ถ้ายัง เป็นงง ต้องตามไปอ่านที่คุณหมอเขียนไว้ที่ เว็บโน่นละครับ อ่านหลายๆ เที่ยวหน่อย
-
[quote author=มะละกอ link=topic=89334.msg1120130#msg1120130 date=1391844436
แม้ว่าคุณจะใช้แอมป์กำลังแค่ 25 วัตต์
แต่สามารถขับลำโพงทุกชนิดในโลกให้ได้เสียงเพลงเสียงดนตรีที่ไพเราะ
ซึ่งถ้าเอาแอมป์หลายร้อยวัตต์มาขับคุณอาจผิดหวังเพราะมันเสียงคลิปเสียแล้ว
ทำไมนั่นหรือ ผู้ออกแบบแอมป์สามารถอธิบายได้ครับ
การเลือกซื้อแอมป์มาใช้ จึงต้องดูความสามารถของลำโพงของเราเป็นที่ตั้งก่อน
( หมายถึงหรือไปเกี่ยวข้องกับอิมพีแด๊นซ์ 4 หรือ 8 โอห์ม ของลำโพงอีกด้วย คืออิมพีแด๊นซ์ลำโพงต่ำ ต้องการแอมป์ที่มีเฮดรูมสูงกว่าครับ)
เลือกซื้อแอมป์ที่สามารถควบคุมลำโพงของเราได้พอเพียง ใช้ตลอดชีวิตก็ไม่พัง
[/quote]
แต่ก่อนผมก็คิดแบบนี้แหละครับ ผมเลยซื้อแอมป์กำลังพอฟัดพอเหวี่ยงกับลำโพงมาใช้ เหตุการก็เป็นปกติดี
แต่ต่อมา งานมันเริ่มมีคนจ้าง รูปแบบงานก็หลากหลายขึ้น แอมป์ถูกใช้งานแบบเต็มกำลังบ่อยครั้ง หนักๆเข้ามันก็กินเสียงแหลมผมไปทั้งชุด
ลูกพี่ใหญ่ที่ผมขอคำปรึกษาคนแรกคือพี่เร ซาวด์มาร์ค
พี่เรให้คำตอบที่ผมต้องจำไปตลอดกาลว่า มีากไว้ไม่ใช้ก็ไม่เสียหลาย แต่ถ้ามีแบบพอดีกันเมื่อต้องการกำลังแบบเต็มร้อยนานๆ ก็เหมือนคนวิ่งสุดกำลัง
ไม่นานก็จอดครับ
หลังจากลองเอาแอมป์แปดร้อยวัตต์มาขับลำโพงสามร้อยวัตต์ ผมก็เลยถึงบางอ้อเข้าใจที่พี่แกบอก ตั้งแต่นั้นถ้าจะซื้อแอมป์ใหม่ถ้าราคาใกล้ๆกัน ผมจะซื้อที่มีแรงมากกว่าไว้ก่อนครับ
-
แสดงว่าน้ายังมิได้อ่านที่คุณหมอแนะ แหงมเลย
โครงสร้างทางกายภาพของดอกลำโพง ถึงอย่างไรมันมีเพดานที่จะรับกำลังของแอมป์นะครับ
ลำโพงต่อให้หล่นจากฟากฟ้าพระอินทร์ให้มา มันก็ไห้ความดังเท่าที่จะให้ได้
ไม่มากไม่น้อยกว่ากันละครับ
แอมป์หนึ่งตัวที่มีพละกำลังพอเพียงที่จะขับดอกลำโพงในโลกนี้ได้และให้เสียงได้ไพเราะ
ย่อมคุ้มเงินคุ้มค่ากว่าจ่ายสูงกว่าเพียงหวังเพื่อแอม์กำลังสูงที่จะใช้งานจริง
แต่ถ้าระบบใหญ่ขึ้นต้องการความดังเพิ่มขึ้น เช่นเพิ่มลำโพงในระบบอีก 1 ชุด
จะได้ความดังเพิ่มขึ้นอีก 3 dB
ถ้าเอาคุณภาพของเสียงจริงๆ
หมายถึงเค้าให้เพิ่มแอมป์ด้วยอีกหนึ่งตัวมาขับลำโพงที่เพิ่มขึ้นมาตะหากนะครับ
จึงเป็นที่มาของคำว่า มีมากไว้ดีกว่า มีน้อย
ในระดับอาชีพที่ออกงานจริงๆ เขาถึงต้องมีพาวเวอร์แอมป์อีกจำนวนหนึ่งสำรองไว้เผื่อฉุกเฉิน
นั่นคือมีแอมป์จำนวนเครื่องมากกว่าลำโพงที่จะใช้
มิใช่มีแอมป์ตัวเดียวกำลังมากๆ เพื่อขับลำโพงหลายชุดนะครับผม
การคำนวนว่าจะใช้แอมป์กี่ตัว มันมีที่มาที่ไป
เมื่อรู้สถานที่ จำนวนคน จะรู้ว่าต้องใช้ขนาดระบบลำโพง
เมื่อรู้ระบบลำโพวถึงจะมาคำนวนเรื่องจำนวนแอมป์ที่จะใช้
ยกเว้นผู้ที่มีประสบการณ์อันยาวนาน ถึงจะสลับสับเปลี่ยนลูกเล่นได้
จริงๆ งานนี้ถ้าผมแนะนำ ท่านเจ้าของกระทู้ คงต้องถามถึงข้อมูลมากกว่านี้
หรือถ้าเอาด่วนผมแนะนำให้ซื้อพาวเวอร์แอมป์ 2 เครื่องมาใช้งานครับ
-
แสดงว่าน้ายังมิได้อ่านที่คุณหมอแนะ แหงมเลย
โครงสร้างทางกายภาพของดอกลำโพง ถึงอย่างไรมันมีเพดานที่จะรับกำลังของแอมป์นะครับ
ลำโพงต่อให้หล่นจากฟากฟ้าพระอินทร์ให้มา มันก็ไห้ความดังเท่าที่จะให้ได้
ไม่มากไม่น้อยกว่ากันละครับ
แอมป์หนึ่งตัวที่มีพละกำลังพอเพียงที่จะขับดอกลำโพงในโลกนี้ได้และให้เสียงได้ไพเราะ
ย่อมคุ้มเงินคุ้มค่ากว่าจ่ายสูงกว่าเพียงหวังเพื่อแอม์กำลังสูงที่มิได้ใช้
แต่ถ้าระบบใหญ่ขึ้นต้องการความดังเพิ่มขึ้น เช่นเพิ่มลำโพงในระบบอีก 1 ชุด
จะได้ความดังเพิ่มขึ้นอีก 3 dB
ถ้าเอาคุณภาพของเสียงจริงๆ
หมายถึงเค้าให้เพิ่มแอมป์ด้วยอีกหนึ่งตัวมาขับลำโพงที่เพิมขึ้นมาตะหากนะครับ
จึงเป็นที่มาของคำว่า มีมากไว้ดีกว่า มีน้อย
ในระดับอาชีพที่ออกงานจริงๆ เขาถึงต้องมีพาวเวอร์แอมป์อีกจำนวนหนึ่งสำรองไว้เผื่อฉุกเฉิน
นั่นคือมีแอมป์จำนวนเครื่องมากกว่าลำโพงที่จะใช้
มิใช่มีแอมป์ตัวเดียวกำลังมากๆ เพื่อขับลำโพงหลายชุดนะครับผม
แสดงว่าป๋าก็ไม่เข้าใจความหมายของผมเหมือนกัน
ความหมายของผมคือ ถ้าลำโพงทนได้สามร้อย เอาแอมป์สามร้อยขับสุดกำลัง เปิดนานๆ แอมป์ก็เพี้ยน เสียงก็เครียด
กับเอาลำโพงที่รับกำลังขับได้สามร้อย แต่เอาแอมป์แปดร้อยวัตต์ขับแตเปิดแค่สี่สิบเปอร์เซ็นต์แอมป์ทำงานสบายๆไม่เครียด
ไม่ได้อัดหมดร้อย ถ้าอัดหมดอะไรก็ไม่เหลือ
-
อธิบายต่อนะครับ
ระบบลำโพง สมมุติผมจัดเต็มยศ
คือ ซับ เบส มิดเบส และ ไฮ
ซับ 18 นิ้ว 1 คู่ , เบส 15 นิ้ว 1 คู่ , มิดเบส 1 คู่ ยูนิตไฮ 1 คู่
เดี๋ยวพาคุณแม่เข้าห้องน้ำสักครู่มาต่อ....
-
อธิบายต่อนะครับ
ระบบลำโพง สมมุติผมจัดเต็มยศ
คือ ซับ เบส มิดเบส และ ไฮ
ซับ 18 นิ้ว 1 คู่ , เบส 15 นิ้ว 1 คู่ , มิดเบส 1 คู่ ยูนิตไฮ 1 คู่
เดี๋ยวพาคุณแม่เข้าห้องน้ำสักครู่มาต่อ....
ระหว่างรอ มีผู้ใหญ่ท่านหนึ่งให้แง่คิดก่อนซื้อแอมป์ มีข่าวสารหนึ่งกระสอบเล็ก 50 โล ให้คนธรรมดาร่างกายกำยำหนักห้าสิบโลเท่ากันไม่ใช่พนักงานแบกมืออาชีพแบก
กับให้คนร่างกายกำยำหนัก100โลแบกข้าวสารกระสอบเดียวกัน โดยทั่วๆไปใครทำงานสบายกว่า
ถ้าคิดไม่ออกให้นึกถึงนักยกน้ำหนักครับ คนตัวใหญ่กว่าก็ยกได้มากกว่า เอาแบบโดยเฉลี่ยน่ะ ไม่นับนักยกบางคนที่ตัวเล็กแต่ดันยกได้เยอะ ซึ่งคนแบบนี้มีไม่เยอะ ;D
-
ได้ความรู้เยอะเลย งั้นถามต่อนนะครับ ถ้าตู้ทนกำลังขับได้500วัตต์ ต่อ2ตู้ เท่ากับ1000วัตต์ ต่อข้าง ต้องใช้เพาเวอร์แอมป์ที่มีกำลังขับที่1000กว่าวัตต์ ที่4โอมหืชึ้น ถูกต้องหรือไม่
ต้องขอโทษด้วยนะครับ มีความรู้เรื่องเครื่องเสียงน้อยแต่อยากจะศ฿กษา จึงต้องปร฿กษาจากพี่ๆในนี้ คงไม่ว่ากันนะครับ
-
กว่าจะว่างได้ ก็ได้เวลานอนพอดี ฮิ ฮิ
ปรนนิบัติผู้สูงอายุต้องละเอียดครับ
บอกได้แค่
เรื่องของเสียงไม่มีทฤษฎีอะไรรองรับดอกนะครับ
เรื่องของเสียง มันเป็น ศิลป + วิทยาศาสตร์
คนไทยเราเป็นชาติเดียวที่เอาเรื่องของ วัตต์ มาพูดคุยกัน
เช่นแอมป์ 500 วัตต์ ลำโพง 1000 วัตต์
คุยกันเรื่องความดังเป็น วัตต์ แทนที่จะเป็น dB
เมื่อคุยกันด้วยหน่วยกันคนละแบบ คงคุยกันไม่รู้เรื่อง
-
เมื่อลำโพงเราวัดความดังเป็น ดีบี
สมมุติลำโพง 15 นิ้ว ไม่ว่าจะยี้ห้ออะไร ให้ความดังหรือ Sensitivity อย่างสูงที่สุดตีเสียว่า 100 dB
หมายถึง ที่ระยะห่าง 1 เมตร ใส่กำลังเข้าไป 1 วัตต์ จะได้ความดัง เท่ากับ 100 dB
ดังขนาดไหนค้นกูเกิ้ลได้ครับ
จัดงานกลางแจ้ง น๊อยซ์ฟลอร์อย่างมากไม่เกิน 90 ดีบี
แอมป์ แค่ 1 วัตต์ ความดังก็เกิน น๊อยซ์ฟลอร์เสียแล้วครับ
ถ้าจะคุยเรื่องนี้ มันต้องอธิบายกันตั้งแต่ Input Sensitivity ของแอมป์ ที่สูงหรือต่ำ ตามที่คุณหมอแม็คบอกไว้นั่นแหละ
มันจึงไม่สามารถที่จะยกตัวอย่างเปรียบเทียบเรื่องของเด็กหรือผู้ใหญ่ที่ยกน้ำหนักข้าวสารอย่างที่น้านพอ้างได้
จริงๆ นะครับ เพราะเรื่องของเสียงนั้น
พาวเวอร์แอมป์ที่มีกำลังแค่ 25 วัตต์ มันอาจจะให้พละกำลังได้เหนือกว่า แอมป์ 200-300 วัตต์ ได้และดีกว่า
ซึ่งจะเป็นที่มาของหลายเรื่องที่ตามมาอีกในเรื่องของเสียงครับ
(http://upload.sodazaa.com/image.php?id=7CCB_52F62930&jpg) (http://upload.sodazaa.com/share.php?id=7CCB_52F62930)Thanks: เกมส์ (http://game.sodazaa.com) ฟังวิทยุออนไลน์ (http://radio.sodazaa.com)
-
เมื่อลำโพงเราวัดความดังเป็น ดีบี
สมมุติลำโพง 15 นิ้ว ไม่ว่าจะยี้ห้ออะไร ให้ความดังหรือ Sensitivity อย่างสูงที่สุดตีเสียว่า 100 dB
หมายถึง ที่ระยะห่าง 1 เมตร ใส่กำลังเข้าไป 1 วัตต์ จะได้ความดัง เท่ากับ 100 dB
ดังขนาดไหนค้นกูเกิ้ลได้ครับ
จัดงานกลางแจ้ง น๊อยซ์ฟลอร์อย่างมากไม่เกิน 90 ดีบี
แอมป์ แค่ 1 วัตต์ ความดังก็เกิน น๊อยซ์ฟลอร์เสียแล้วครับ
ถ้าจะคุยเรื่องนี้ มันต้องอธิบายกันตั้งแต่ Input Sensitivity ของแอมป์ ที่สูงหรือต่ำ ตามที่คุณหมอแม็คบอกไว้นั่นแหละ
มันจึงไม่สามารถที่จะยกตัวอย่างเปรียบเทียบเรื่องของเด็กหรือผู้ใหญ่ที่ยกน้ำหนักข้าวสารอย่างที่น้านพอ้างได้
จริงๆ นะครับ เพราะเรื่องของเสียงนั้น
พาวเวอร์แอมป์ที่มีกำลังแค่ 25 วัตต์ มันอาจจะให้พละกำลังได้เหนือกว่า แอมป์ 200-300 วัตต์ ได้และดีกว่า
ซึ่งจะเป็นที่มาของหลายเรื่องที่ตามมาอีกในเรื่องของเสียงครับ
ทฤษฎีผมคงไม่แม่นครับป๋า แต่ถ้าจะวัดจากประสพการณ์เกือบสิบปี ที่เล่นงานพีเอ ผมบอกได้เลย แอมป์ที่แรง มีประโยชน์กว่าครับ
ยกตัวอย่างที่ใช้จริง ลำโพงเบสขนาด 18 นิ้ว ยี่ห้อออดิโอดิไวส์ ของผมรับได้ 800w ต่อเนื่องที่8 โอมส์ เอาแอมป์ เอเจ 3000 vz กำลัง 800 wที่แปดโอมส์
ขับได้พอเสมอตัว
แต่ถ้าบริดโมโน ได้ 3000wที่ 4 โอมส์ขับตู้ใบเดิมพ่วงกันสองใบ เบสอ๊วกแตกแบบที่คนบ้านนอกชอบครับ
เรื่องโฮมยูสผมคงไม่กล้าต่อปากกับป๋า แต่ถ้าพีเอผมสู้ใจขาด หิวเบียร์ดำวุ้ย :cheer:
-
คุณภาพของเสียง
ที่ดังเพียงพอและได้บรรยากาศสำหรับPA(แบบสุดๆ)พร้อมๆกับความไพเราะได้รายละเอียดเสียงคุณภาพแบบเครื่องเสียงบ้าน(แบบสุดๆ)
คงเป็นเรื่องอุดมคติหรือครับ?
-
ข้อมูลจาก Website
กำลังขับของเพาเวอร์แอมป์ Audio Jockey L5000s
กำลังขับเมื่อขับในโหมดสเตอริโอ
1200 + 1200 วัตต์ ที่ 8 โอห์ม
2000 + 2000 วัตต์ ที่ 4 โอห์ม
3000 + 3000 วัตต์ ที่ 2 โอห์ม
A&J AJX-718S…..Professional Subwoofer Speaker
Specifications :
Type : Powerful Sub Woofer (Horn Load)
Rated Power : 500W RMS
Program Power : 1000W (Peak)
Components : 18" Woofer (100mm.VC)
Connections : 2 x NL4 Speakon
Sensitivity : 96 dB
Rated Max.SPL : 124 dB @ 1m
Frequency Response : 30 Hz - 250 Hz
Impedance : 8 Ohm
ความคิดเห็นครับ
1. ลำโพง (500W) 2ตู้ต่อแบบขนาน (4 โอมห์) วัตต์จะเหลือ 250 วัตต์
2. แอมป์ขับลำโพงแบบ 4 โอห์ม กำลังแอมป์จะกลายเป็น 2000 วัตต์
หมายความว่า ใช้แอมป์ 2000 วัตต์ ขับลำโพง 250 วัตต์ ผมว่ากำลังขับมากเกินไป
3. ลำโพง (500W) 1 ตู้ (8 โอมห์) วัตต์จะเป็น 500 วัตต์ เท่านั้น (ตามสเป็ค)
4. แอมป์ขับลำโพงแบบ 8 โอห์ม กำลังแอมป์จะเป็น 1200 วัตต์ (ตามสเป็ค)
หมายความว่า ใช้แอมป์ 1200 วัตต์ ขับลำโพง 500 วัตต์ ผมว่ากำลังขับค่อนข้างมากเกินความจำเป็น
ข้อเสนอแนะ
ควรใช้แอมป์ประมาณ 800 x 800 วัตต์ 8 โอห์ม 2 ตัว ใช้ขับข้างละ 2 ใบ
ข้อดี
1. จะใช้น้ำเสียงที่อิ่ม เปิดสุดได้เพื่อให้แอมป์ทำงานได้เต็มที่ จะดีกว่าใช้แอมป์กำลังสูงแล้วลดโวลลุ่ม (Gain ของแอมป์)
2. หากแอมป์ตัวหนึ่งตัวใดเกิดเสียระหว่างงาน ก็ยังได้ใช้อีกตัวหนึ่ง ขับข้างละใบ งานไม่ล่ม
หากไม่ถูกต้องเชิญผู้รู้แนะนำด้วยครับ :thank1:
-
อยากทราบครับว่าถ้าเอา เพาเวอร์aj L 5000 มาขับซับ aj718s ข้างละ2 จะแรงไปมั๊ย กลัวลำโพงรับไม่ไหวพอดีว่าจะซื้อเพาเวอร์ใหม่ ขอบคุณล่วงหน้าครับ
คำตอบคือ ขับได้ครับ แอมป์กำลังขับสูงกว่าดอกลำโพงไม่ใช่ปัญหาในการใช้งาน ปัญหาคือต้องรู้จักการใช้งานอย่างถูกวิธีครับ
ข้อมูลจาก Website
กำลังขับของเพาเวอร์แอมป์ Audio Jockey L5000s
กำลังขับเมื่อขับในโหมดสเตอริโอ
1200 + 1200 วัตต์ ที่ 8 โอห์ม
2000 + 2000 วัตต์ ที่ 4 โอห์ม
3000 + 3000 วัตต์ ที่ 2 โอห์ม
A&J AJX-718S…..Professional Subwoofer Speaker
Specifications :
Type : Powerful Sub Woofer (Horn Load)
Rated Power : 500W RMS
Program Power : 1000W (Peak)
Components : 18" Woofer (100mm.VC)
Connections : 2 x NL4 Speakon
Sensitivity : 96 dB
Rated Max.SPL : 124 dB @ 1m
Frequency Response : 30 Hz - 250 Hz
Impedance : 8 Ohm
ความคิดเห็นครับ
1. ลำโพง (500W) 2ตู้ต่อแบบขนาน (4 โอมห์) วัตต์จะเหลือ 250 วัตต์
2. แอมป์ขับลำโพงแบบ 4 โอห์ม กำลังแอมป์จะกลายเป็น 2000 วัตต์
หมายความว่า ใช้แอมป์ 2000 วัตต์ ขับลำโพง 250 วัตต์ ผมว่ากำลังขับมากเกินไป
3. ลำโพง (500W) 1 ตู้ (8 โอมห์) วัตต์จะเป็น 500 วัตต์ เท่านั้น (ตามสเป็ค)
4. แอมป์ขับลำโพงแบบ 8 โอห์ม กำลังแอมป์จะเป็น 1200 วัตต์ (ตามสเป็ค)
หมายความว่า ใช้แอมป์ 1200 วัตต์ ขับลำโพง 500 วัตต์ ผมว่ากำลังขับค่อนข้างมากเกินความจำเป็น
ข้อเสนอแนะ
ควรใช้แอมป์ประมาณ 800 x 800 วัตต์ 8 โอห์ม 2 ตัว ใช้ขับข้างละ 2 ใบ
ข้อดี
1. จะใช้น้ำเสียงที่อิ่ม เปิดสุดได้เพื่อให้แอมป์ทำงานได้เต็มที่ จะดีกว่าใช้แอมป์กำลังสูงแล้วลดโวลลุ่ม (Gain ของแอมป์)
2. หากแอมป์ตัวหนึ่งตัวใดเกิดเสียระหว่างงาน ก็ยังได้ใช้อีกตัวหนึ่ง ขับข้างละใบ งานไม่ล่ม
หากไม่ถูกต้องเชิญผู้รู้แนะนำด้วยครับ :thank1:
ดอกลำโพง 500Wrms /1000Wpeak จำนวนสองดอกขนานกัน จะสามารถรองรับกำลังวัตต์ได้เพิ่มขึ้นเป็น 1000Wrms/2000Wpeak ครับ ส่วนค่าอิมพิแดนซ์จะลดลงจาก 8 ohms เหลือ 4 ohms ครับ การจะดูสเปคดอกลำโพง เพื่อหาพาวเวอร์แอมป์มาใช้กับดอกลำโพง ให้ดูความสามารถในการรองรับกำลังขับ Watts ของดอกลำโพง เทียบกับพาวเวอร์แอมป์ โดยหากเป็นไปได้ให้พยายามหาพาวเวอร์แอมป์มีกำลังขับสูงกว่าดอกลำโพงสักประมาณ 30% จะดีมาก ๆ ครับ ( W ไม่ได้หมายถึงความดังนะครับ อย่าเข้าใจกันผิด ๆ การจะคำนวณว่าดอกลำโพงดอกนี้จะให้ความดังได้กี่ dB ต้องเอาค่า dB SPL 1w/1m มาคำนวณหาค่าความดังกับความสามารถในการรองรับกำลังขับของดอกอีกทีหนึ่งครับ )
-
เมื่อลำโพงเราวัดความดังเป็น ดีบี
สมมุติลำโพง 15 นิ้ว ไม่ว่าจะยี้ห้ออะไร ให้ความดังหรือ Sensitivity อย่างสูงที่สุดตีเสียว่า 100 dB
หมายถึง ที่ระยะห่าง 1 เมตร ใส่กำลังเข้าไป 1 วัตต์ จะได้ความดัง เท่ากับ 100 dB
ดังขนาดไหนค้นกูเกิ้ลได้ครับ
จัดงานกลางแจ้ง น๊อยซ์ฟลอร์อย่างมากไม่เกิน 90 ดีบี
แอมป์ แค่ 1 วัตต์ ความดังก็เกิน น๊อยซ์ฟลอร์เสียแล้วครับ
ถ้าจะคุยเรื่องนี้ มันต้องอธิบายกันตั้งแต่ Input Sensitivity ของแอมป์ ที่สูงหรือต่ำ ตามที่คุณหมอแม็คบอกไว้นั่นแหละ
มันจึงไม่สามารถที่จะยกตัวอย่างเปรียบเทียบเรื่องของเด็กหรือผู้ใหญ่ที่ยกน้ำหนักข้าวสารอย่างที่น้านพอ้างได้
จริงๆ นะครับ เพราะเรื่องของเสียงนั้น
พาวเวอร์แอมป์ที่มีกำลังแค่ 25 วัตต์ มันอาจจะให้พละกำลังได้เหนือกว่า แอมป์ 200-300 วัตต์ ได้และดีกว่า
ซึ่งจะเป็นที่มาของหลายเรื่องที่ตามมาอีกในเรื่องของเสียงครับ
(http://upload.sodazaa.com/image.php?id=7CCB_52F62930&jpg) (http://upload.sodazaa.com/share.php?id=7CCB_52F62930)Thanks: เกมส์ (http://game.sodazaa.com) ฟังวิทยุออนไลน์ (http://radio.sodazaa.com)
ต้องขอขัดใจท่านมะละกอสักนิดนะครับ ในงานกลางแจ้ง เราไม่ได้นั่งฟังที่หน้าตู้ ในระยะ 1 เมตรเหมือนเครื่องเสียงบ้านนะครับ อย่างต่ำ ๆ ก็ต้องมี 10 เมตร จากหน้าตู้ ส่วนพวกที่อยู่ท้าย ๆ งาน อาจจะไกลมากกว่า 30 เมตร นั่นคือความแตกต่างของเครื่องเสียงบ้าน กับเครื่องเสียงกลางแจ้งครับ ซึ่งระยะทางที่เพิ่มขึ้นทุก ๆ หนึ่งเท่าตัว ความดังจะลดลง -6dB ในขณะที่เราเพิ่มกำลังขับของแอมป์ทุก ๆ 1 เท่า ความดังจะเพิ่มขึ้นเพียง +3dB ครับ
สมมุติว่าเราขับตู้ลำโพงที่ท่านมะละกอยกตัวอย่างมา ด้วยแอมป์ 1 W ได้ความดัง 100dB / 1m
2m ความดังจะลดลงเหลือเพียง 100-6 = 94dB
4m ความดังจะลดลงเหลือเพียง 94-6 = 88dB
8m ความดังจะลดลงเหลือเพียง 88-6 = 82dB
12m ความดังจะลดลงเหลือเพียง 82-6 = 76dB
24m ความดังจะลดลงเหลือเพียง 76-6 = 70dB
จะเห็นได้ว่าแค่ที่ระยะ 24m ความดังลดลงไปถึง -30dB ทีนี้เราจะทำอย่างไรให้ความดังของตู้ลำโพงที่ส่งไปถึงท้ายงานยังได้ความดังที่ 100dB ก็คือต้องเพิ่มความดังที่หน้าตู้ ที่ระยะ 1m ให้ดังถึง 130dB ซึ่งจะทำได้ท่านต้องเพิ่มกำลังขับของแอมป์ที่ส่งไปยังตู้ลำโพงนั่นเอง ทีนี้ก็มาถึงว่าแล้วต้องเพิ่มกำลังขับเป็นเท่าไหร่ถึงจะได้ความดัง 130dB ที่ 1m ผมจะไม่ใช้สูตรเดี๋ยวหมอนพ จะบอกว่าปวดหัวอีก ก็ให้คำนวณง่าย ๆ ว่า กำลังขับเพิ่มขึ้น 1 เท่าความดังจะเพิ่มขึ้น +3dB
1w = 100dB
2w = 100+3 = 103dB
4w = 103+3 = 106dB
8w = 106+3 = 109dB
16w = 109+3 = 112dB
32w = 112+3 = 115dB
64w = 115+3 = 118dB
128w = 118+3 = 121dB
256w = 121+3 = 124dB
512w = 124+3 = 127dB
1024w= 127+3 = 130dB
น่าตกใจมั้ยครับ จะเห็นได้ว่าแอมป์กำลังขับน้อย ๆ อย่างแอมป์เครื่องเสียงบ้านกำลังแค่ 25w อย่างที่ท่านยกตัวอย่างมา กับตู้ลำโพงที่ดอก รับกำลังขับได้ต่ำ แถมค่า Sensitivity SPL ต่ำกว่า 100dB 1w/1m ไม่มีทางทำความดังได้ถึง 130dB แน่นอนครับ ซึ่งทางออกอีกทางหนึ่งคือเพิ่มจำนวนตู้กับแอมป์ ให้มากขึ้น โดยจำนวนที่เพิ่มขึ้นทุก 1 เท่าจะได้ความดังเพิ่มขึ้น +3dB เช่นกันครับ
ดังนั้นในงานกลางแจ้ง การเพิ่มความดังอีก +3dB จึงเป็นเรื่องใหญ่โตมโหฬาร เป็นงานช้าง อย่างที่คาดคิดกันไม่ถึงทีเดียวเชียวครับ ท่านไม่แปลกใจหรือครับว่าทำไมงานคอนเสิร์ตใหญ่ ๆ ถึงต้องใช้ตู้ลำโพงจำนวนมหาศาลขนาดนั้น
:love2:
-
ขอบคุณครับเฮีย ที่มาช่วยอธิบายให้ผมเข้าใจมากขึ้น ว่าทำไมงานกลางแจ้งต้องแรงไว้ก่อน
เหตุผลที่ผมเข้าใจง่ายที่สุดคือ เพราะเราไม่ได้นั่งฟังหน้าตู้ด้วยความดังปกตินี่เอง
เหมือนอย่างงานนี้
(http://img.tapatalk.com/d/14/02/09/u8avu4yt.jpg)
ด้วยชุดที่มีแค่นี้ ลองสังเกตดีๆ แอมป์ตัวบนผมไม่ได้เร่งหมด เพราะผมใช้ขับกลางข้างละสองดอก ถ้าหมดตู้กลางผมไม่รอดแน่
(http://img.tapatalk.com/d/14/02/09/e3ade5up.jpg)
(http://img.tapatalk.com/d/14/02/09/de6ypame.jpg)
กว่าจะได้ระดับความดังร้อยดีบีที่ท้ายงาน หืดขึ้นคอครับ
(http://img.tapatalk.com/d/14/02/09/ebaqu4e9.jpg)
Sent from my iPad using Tapatalk
-
เวลาที่จิ้มคีย์บอร์ดทีละตัวและนั่งนานๆ ผมจะปวดต้นคอชนิดน้ำตาเล็ดซึ่งทรมาณมากครับ
คืนที่ผ่านมา ทายาที่คุณหมอให้มาแล้วเข้านอนหงายท่าเดียวตลอด
ตื่นเช้ามาค่อยดีหน่อย
หมอกระดูกบอกเป็นเพราะหินปูนเกาะพอกกระดูดต้นคอ ก็ว่ากันตามหมอ
แต่คิดว่าคนแก่ไม่ค่อยออกกำลังกาย ก้อ มักจะมีเหตุเจ็บป่วยเสมอ
ตื่นมาเกือบแปดนาฬิกา โอ้โห หลายท่านมาปุจฉาวิสัชนา
ทำให้คึกคักขึ้น ซึ่งผมอยากให้เป็นแบบนี้อย่างสม่ำเสมอ
การสื่อแบบ 2 ทางไปมาจะได้ซึ่งความรู้หลากหลายขึ้น มีประโยชน์ต่อวงการครับ
บอกได้ว่าก่อนเขียน หรือก่อนตอบคำถามทุกครั้ง
ผมจะค้นคว้าหาข้อมูลในกูเกิ้ลเพื่อย้ำความมั่นใจทุกครั้ง ทุกครั้งจริงๆ ครับ
เพราะรู้ตัวว่างานกลางแจ้งผมไม่ถนัด ไม่มีประสบการณ์
ในเรื่องของเสียงผมถือเอาคุณภาพของเสียงที่ถูกต้องเป็นธรรมชาติมาก่อนอื่น
หมายถึงถ้ามันถูกต้อง มันย่อมมาจากการเซ็ทอัพระบบเสียงที่แม่นยำ ที่เหมาะสม
ซึ่งมีที่มาที่ไปรองรับและบวกกับความช่ำชองจากประสบการณ์ของแต่ละคนที่จะพลิกผันเล่นแร่แปรธาตุ
มันจึงเป็นที่มาว่าแต่ละคนแต่ละค่ายย่อมมีสูตรสำเร็จไม่เหมือนกัน
ผมชอบอ่านเอาเรื่อง และรักในการอ่านเกี่ยวกับเครื่องเสียง ระบบเสียง
ทั้งในเรื่องของ การรับฟังในบ้าน และกลางแจ้งที่เราเรียกว่า PA อ่านมากพอควร
เช่นผมอ่านเบื้องหลังการออกแบบระบบเสียงในงานแจกรางวัลออสการ์
เบื้องหลังการออกแบบระบบเสียงในที่ประชุมใหญ่ของพรรคดีโมแครตเวลาหาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีอเมริกา
และการออกแบบระบบเสียงในงานแสดงคอนเสิร์ตซิมโฟนี่ออร์เครตร้าระดับโลก
จึงพอได้ไอเดียมาบ้างนะครับ ครือ...ว่ามิได้นั่งเทียนเขียน
และผมสามารถบอกที่มาที่ไปได้พร้อมทั้งเหตุผลทางวิทยาศาสตร์อีกด้วย
เรามาดูคอนเซ็พท์ของงานกลางแจ้งกัน....
-
ดีครับ ผมก็พอจะได้รื้อฟื้นความทรงจำเก่าๆตอนวัยรุ่นเงินเดือนไม่กี่พันแต่ดันอยากจะฮิฟิ กับเขาด้วยการมานะเก็บเงินซื้อลำโพงราคาหมื่น แต่ใบสูงคืบก่าๆมาคอยเงี่ยหูฟังจากแอมป์ nad ตัวเท่าขี้ตา กับซีดีเดนอนตัวเล็กสุดที่รวมๆกันแล้วซื้อมอไซด์ได้คันหนึ่ง ตั้งซื้อมาจนเลิกเล่นและหลอกขายไป ผมมีซีดที่บันทึกมาดีๆแท้ๆแค่แผ่นเดียว :hap3:
-
ต้องขอขัดใจท่านมะละกอสักนิดนะครับ ในงานกลางแจ้ง เราไม่ได้นั่งฟังที่หน้าตู้ ในระยะ 1 เมตรเหมือนเครื่องเสียงบ้านนะครับ
อย่างต่ำ ๆ ก็ต้องมี 10 เมตร จากหน้าตู้ ส่วนพวกที่อยู่ท้าย ๆ งาน อาจจะไกลมากกว่า 30 เมตร
นั่นคือความแตกต่างของเครื่องเสียงบ้าน กับเครื่องเสียงกลางแจ้งครับ
ซึ่งระยะทางที่เพิ่มขึ้นทุก ๆ หนึ่งเท่าตัว ความดังจะลดลง -6dB
ในขณะที่เราเพิ่มกำลังขับของแอมป์ทุก ๆ 1 เท่า ความดังจะเพิ่มขึ้นเพียง +3dB ครับ
สมมุติว่าเราขับตู้ลำโพงที่ท่านมะละกอยกตัวอย่างมา ด้วยแอมป์ 1 W ได้ความดัง 100dB / 1m
2m ความดังจะลดลงเหลือเพียง 100-6 = 94dB
4m ความดังจะลดลงเหลือเพียง 94-6 = 88dB
8m ความดังจะลดลงเหลือเพียง 88-6 = 82dB
12m ความดังจะลดลงเหลือเพียง 82-6 = 76dB
24m ความดังจะลดลงเหลือเพียง 76-6 = 70dB
จะเห็นได้ว่าแค่ที่ระยะ 24m ความดังลดลงไปถึง -30dB ทีนี้เราจะทำอย่างไรให้ความดังของตู้ลำโพงที่ส่งไปถึงท้ายงานยังได้ความดังที่ 100dB
ก็คือต้องเพิ่มความดังที่หน้าตู้ ที่ระยะ 1m ให้ดังถึง 130dB ซึ่งจะทำได้ท่านต้องเพิ่มกำลังขับของแอมป์ที่ส่งไปยังตู้ลำโพงนั่นเอง
ทีนี้ก็มาถึงว่าแล้วต้องเพิ่มกำลังขับเป็นเท่าไหร่ถึงจะได้ความดัง 130dB ที่ 1m
ผมจะไม่ใช้สูตรเดี๋ยวหมอนพ จะบอกว่าปวดหัวอีก ก็ให้คำนวณง่าย ๆ ว่า กำลังขับเพิ่มขึ้น 1 เท่าความดังจะเพิ่มขึ้น +3dB
1w = 100dB
2w = 100+3 = 103dB
4w = 103+3 = 106dB
8w = 106+3 = 109dB
16w = 109+3 = 112dB
32w = 112+3 = 115dB
64w = 115+3 = 118dB
128w = 118+3 = 121dB
256w = 121+3 = 124dB
512w = 124+3 = 127dB
1024w= 127+3 = 130dB
น่าตกใจมั้ยครับ จะเห็นได้ว่าแอมป์กำลังขับน้อย ๆ อย่างแอมป์เครื่องเสียงบ้านกำลังแค่ 25w
อย่างที่ท่านยกตัวอย่างมา กับตู้ลำโพงที่ดอก รับกำลังขับได้ต่ำ แถมค่า Sensitivity SPL ต่ำกว่า 100dB 1w/1m
ไม่มีทางทำความดังได้ถึง 130dB แน่นอนครับ
ซึ่งทางออกอีกทางหนึ่งคือเพิ่มจำนวนตู้กับแอมป์ ให้มากขึ้น โดยจำนวนที่เพิ่มขึ้นทุก 1 เท่าจะได้ความดังเพิ่มขึ้น +3dB เช่นกันครับ
ดังนั้นในงานกลางแจ้ง การเพิ่มความดังอีก +3dB จึงเป็นเรื่องใหญ่โตมโหฬาร เป็นงานช้าง
อย่างที่คาดคิดกันไม่ถึงทีเดียวเชียวครับ
ท่านไม่แปลกใจหรือครับว่าทำไมงานคอนเสิร์ตใหญ่ ๆ ถึงต้องใช้ตู้ลำโพงจำนวนมหาศาลขนาดนั้น
:love2:
ขอบคุณมากครับที่ขัดใจ แหมคนกันเอง ความรู้ดีๆ แบบนี้ไม่เรียกว่าขัดใจดอกครับ
ขัดใจกันไปมาผลที่ได้ย่อมตกกับทุกผู้ทุกนามอยู่แล้ว
อันที่จริงผมสามารถขัดใจมากๆ ต่อเฮียกลับคืนนะครับ ทุกตัวหนังสืออีกด้วย
เอาแค่เสียงดังขนาด 130 dB เพื่อให้คนอยู่หลังสุดได้ยินนั่น
เสียงดังขนาดนั้นมันยิ่งกว่าฟ้าผ่าหลายเท่านะครับ
คนแถวหน้ามิแย่หรือ เค้าถึงได้มีการออกแบบระบบลำโพงหลายชุด
เพื่อยิงเสียงให้ทั้งคนแถวหน้าและแถวหลังได้รับความเข้มของเสียง
และได้ยินเสียงดนตรีเสียงเพลงในความดังเท่าเทียมกันทุกจุดนั่งหรือยืนชม
ซึ่งมันไม่ยากเกินที่จะออกแบบ
การบริหารจัดการกับลำโพงจึงต้องพึ่งพาพาวเวอร์แอมป์จำนวนหนึ่ง
รวมทั้งการติดตั้งที่ระดับความสูง มุมองศาการยิงเสียง
-
ดีครับ ผมก็พอจะได้รื้อฟื้นความทรงจำเก่าๆตอนวัยรุ่นเงินเดือนไม่กี่พันแต่ดันอยากจะฮิฟิ กับเขาด้วยการมานะเก็บเงินซื้อลำโพงราคาหมื่น แต่ใบสูงคืบก่าๆมาคอยเงี่ยหูฟังจากแอมป์ nad ตัวเท่าขี้ตา กับซีดีเดนอนตัวเล็กสุดที่รวมๆกันแล้วซื้อมอไซด์ได้คันหนึ่ง ตั้งซื้อมาจนเลิกเล่นและหลอกขายไป ผมมีซีดที่บันทึกมาดีๆแท้ๆแค่แผ่นเดียว :hap3:
ถ้าเป็น NAD 3020 รุ่นแรกละก็
ถ้ายังอยู่ขอผมเหอะ
-
1w = 100dB
2w = 100+3 = 103dB
4w = 103+3 = 106dB
8w = 106+3 = 109dB
16w = 109+3 = 112dB
32w = 112+3 = 115dB
64w = 115+3 = 118dB
128w = 118+3 = 121dB
256w = 121+3 = 124dB
512w = 124+3 = 127dB
1024w= 127+3 = 130dB
ถูกต้องครับ
เพียงแต่เวลานำมาปฏิบัติจริง จะแตกต่างออกไป
แตกต่างอย่างไรนั่นขออนุญาตไม่เขียนนะครับ
ความจริง กับ ข้อเท็จจริง ย่อมต่างกันครับ
-
ขอบคุณมากครับที่ขัดใจ แหมคนกันเอง ความรู้ดีๆ แบบนี้ไม่เรียกว่าขัดใจดอกครับ
ขัดใจกันไปมาผลที่ได้ย่อมตกกับทุกผู้ทุกนามอยู่แล้ว
อันที่จริงผมสามารถขัดใจมากๆ ต่อเฮียกลับคืนนะครับ ทุกตัวหนังสืออีกด้วย
เอาแค่เสียงดังขนาด 130 dB เพื่อให้คนอยู่หลังสุดได้ยินนั่น
เสียงดังขนาดนั้นมันยิ่งกว่าฟ้าผ่าหลายเท่านะครับ
คนแถวหน้ามิแย่หรือ เค้าถึงได้มีการออกแบบระบบลำโพงหลายชุด
เพื่อยิงเสียงให้ทั้งคนแถวหน้าและแถวหลังได้รับความเข้มของเสียง
และได้ยินเสียงดนตรีเสียงเพลงในความดังเท่าเทียมกันทุกจุดนั่งหรือยืนชม
ซึ่งมันไม่ยากเกินที่จะออกแบบ
การบริหารจัดการกับลำโพงจึงต้องพึ่งพาพาวเวอร์แอมป์จำนวนหนึ่ง
รวมทั้งการติดตั้งที่ระดับความสูง มุมองศาการยิงเสียง
ด้วยความยินดีครับท่านมะละกอ และขอให้สุขภาพของท่านแข็งแรง ๆ ด้วยนะครับ
มาถกกันต่อถึงเรื่องระบบเสียง วิธีการในการจัดการระบบเสียงให้แต่ละพื้นที่ได้ยินเสียงที่ระดับความดังเท่า ๆ กันนั้น ถูกวิจัยและคิดค้นกันมาอย่างต่อเนื่องนั้นเป็นความจริง โดยมีหลักการทางวิทยาศาสตร์รองรับและสามารถพิสูจน์ได้ แต่ไม่ได้ตอบโจทย์ของคำถามในกระทู้นี้ครับ
ย้อนกลับมาถึงตัวอย่างที่ผมยกมานั้นเป็นการจัดการระบบเสียงกลางแจ้งแบบพื้นฐานที่สุด โดยการใช้ตู้ลำโพงเพียงสองกลุ่ม ซ้าย - ขวา ที่ตั้งอยู่หน้าเวทีเท่านั้นในการจัดการระบบ ซึ่งพวกเราส่วนใหญ่ในเวปนี้ก็จะจัดการระบบเสียงกันในแบบนี้เป็นหลัก แม้แต่คำถามของกระทู้นี้ก็อยู่บนหลักเดียวกันคือ ต้องการหาแอมป์ที่เหมาะสมเพื่อมาขับตู้ซับข้างละ 2 ใบ ซ้าย-ขวา เท่านั้น
เราจะเห็นได้ว่าพื้นที่ด้านหน้าของตู้จะต้องได้รับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้จากระดับความดัง 130dB ที่เราเพิ่มขึ้นเพื่อให้เสียงที่ออกจากตู้ลำโพงหน้าเวทีถูกส่งไปถึงพื้นที่บริเวณท้ายงาน หากว่าท่านนั่งฟังอยู่หน้าตู้ตรง ๆ ที่ระยะ 1 เมตร ท่านคงอยู่ไม่ได้แน่ ๆ ซึ่งในความเป็นจริงก็คงไม่มีใครนั่งอยู่หน้าตู้ที่ระยะ 1 เมตรแน่ ๆ :hap3: :hap3: :hap3: แถวหน้าสุดโดยปกติก็จะห่างจากหน้าเวทีประมาณ ุ6-10 เมตร ซึ่งระดับความดังก็จะลดลงไปประมาณ -18dB จาก 130dB เหลือประมาณ 112dB แต่ก็ยังดังไปอยู่ดีสำหรับหูคนปกติ ดังนั้นเราจึงมีวิธีการต่าง ๆ ในการลดระดับความดังของเสียงที่อยู่บริเวณด้านหน้าเวทีลง ซึ่งวิธีที่ง่ายที่สุดก็คือ การยกตู้ลำโพงให้สูงขึ้นพ้นจากระดับหูของผู้ฟังนั่นเอง
:love2: :love2: :love2:
-
ถ้าเป็น NAD 3020 รุ่นแรกละก็
ถ้ายังอยู่ขอผมเหอะ
ขายไปทั้งชุดพร้อมลำโพง proac กับ cd modify สายลำโพง moniter pc รวม 20000 เมื่อสิบเก้าปีที่แล้วครับ หาเงินซื้อทองแต่งเมียได้สี่บาท
-
ด้วยความยินดีครับท่านมะละกอ และขอให้สุขภาพของท่านแข็งแรง ๆ ด้วยนะครับ
มาถกกันต่อถึงเรื่องระบบเสียง วิธีการในการจัดการระบบเสียงให้แต่ละพื้นที่ได้ยินเสียงที่ระดับความดังเท่า ๆ กันนั้นกันถูกวิจัยและคิดค้นกันมาอย่างต่อเนื่องนั้นเป็นความจริง โดยมีหลักการทางวิทยาศาสตร์รองรับและสามารถพิสูจน์ได้ แต่ไม่ได้ตอบโจทย์ของคำถามในกระทู้นี้ครับ
ย้อนกลับมาถึงตัวอย่างที่ผมยกมานั้นเป็นการจัดการระบบเสียงกลางแจ้งแบบพื้นฐานที่สุด โดยการใช้ตู้ลำโพงเพียงสองกลุ่ม ซ้าย - ขวา ที่ตั้งอยู่หน้าเวทีเท่านั้นในการจัดการระบบ ซึ่งพวกเราส่วนใหญ่ในเวปนี้ก็จะจัดการระบบเสียงกันในแบบนี้เป็นหลัก แม้แต่คำถามของกระทู้นี้ก็อยู่บนหลักเดียวกันคือ ต้องการหาแอมป์ที่เหมาะสมเพื่อมาขับตู้ซับข้างละ 2 ใบ ซ้าย-ขวา เท่านั้น
เราจะเห็นได้ว่าพื้นที่ด้านหน้าของตู้จะต้องได้รับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้จากระดับความดัง 130dB ที่เราเพิ่มขึ้นเพื่อให้เสียงที่ออกจากตู้ลำโพงหน้าเวทีถูกส่งไปถึงพื้นที่บริเวณท้ายงาน หากว่าท่านนั่งฟังอยู่หน้าตู้ตรง ๆ ที่ระยะ 1 เมตร ท่านคงอยู่ไม่ได้แน่ ๆ ซึ่งในความเป็นจริงก็คงไม่มีใครนั่งอยู่หน้าตู้ที่ระยะ 1 เมตรแน่ ๆ :hap3: :hap3: :hap3: แถวหน้าสุดโดยปกติก็จะห่างจากหน้าเวทีประมาณ 10 เมตร ซึ่งระดับความดังก็จะลดลงไปประมาณ -18dB จาก 130dB เหลือประมาณ 112dB แต่ก็ยังดังไปอยู่ดีสำหรับหูคนปกติ ดังนั้นเราจึงมีวิธีการต่าง ๆ ในการลดระดับความดังของเสียงที่อยู่บริเวณด้านหน้าเวทีลง ซึ่งวิธีที่ง่ายที่สุดก็คือ การยกตู้ลำโพงให้สูงขึ้นพ้นจากระดับหูของผู้ฟังนั่นเอง
:love2: :love2: :love2:
จริงครับ อย่างต่ำๆก็ห้าเมตร ไปจนถึง 10 เมตร
ล่าสุดงานแต่งหลาน จัดหน้าบ้านผมเอง หันลำโพงเข้าหาเวที ระยะห่างแค่ 10 เมตร แอมป์เด็กๆที่มีแค่ 180w ต่อข้าง
ขับตู้ชุดเดิมเร่งสัญญาณที่มาสเตอร์แค่ -15 db ก็ยังดังเกินไปด้วยซ้ำ
(http://img.tapatalk.com/d/14/02/09/yhygydan.jpg)
-
โห...ได้ความรู้เพิ่มขึ้นอีกเยอะเลยจากคำถามอันน้อยนิด แล้วมีอาจารย์มาให้ความรู้แนะนำอีก ขอบคุณจริงๆ
-
โห...ได้ความรู้เพิ่มขึ้นอีกเยอะเลยจากคำถามอันน้อยนิด แล้วมีอาจารย์มาให้ความรู้แนะนำอีก ขอบคุณจริงๆ
ยินดีด้วยครับ
การจัดการระบบลำโพงยังมีเทคนิควิธีการต่าง ๆ อีกหลาย ๆ รูปแบบ เพื่อทำให้การกระจายเสียงสามารถครอบคลุมพื้นที่ใหญ่ ๆ ได้อย่างทั่วถึง ประสบการณ์ในการทำงานจริงสอนให้เรารู้ว่าจะต้องจัดระบบเสียงอย่างไรจึงจะได้เสียงตามที่เราต้องการ
ลองมาดูภาพงานที่เพิ่งจัดไปเมื่อวันที่ 6 กพ.นี้ ขนาดพื้นที่งานใหญ่กว่าสนามฟุตบอล (จำนวนโต๊ะ 767 โต๊ะ) กับอีกงานจัดเมื่อคืนนี้ หน้าแคบกว่า แต่ความยาวของพื้นที่ยาวกว่าสนามฟุตบอล (จำนวนโต๊ะ 600 โต๊ะ) โดยลงระบบเสียงชุดเดียวกัน จะสังเกตุเห็นได้ว่าพื้นที่ว่างหน้าเวที มาถึงโต๊ะแถวแรกนั้นประมาณสิบกว่าเมตร
(http://upic.me/i/un/zoundman1.jpg) (http://upic.me/show/49531738)
(http://upic.me/i/sf/zoundman2.jpg) (http://upic.me/show/49531751)
(http://upic.me/i/dd/zoundman3.jpg) (http://upic.me/show/49531764)
(http://upic.me/i/5w/zoundman4.jpg) (http://upic.me/show/49531773)
พาวเวอร์แอมป์ที่ใช้ขับระบบ หนึ่งข้าง
(http://upic.me/i/gf/zoundman5.jpg) (http://upic.me/show/49533250)
ส่วนคลิปนี้เป็นคลิปในช่วง sound check ระบบ ลองฟังเสียงกันดูครับ อัดที่ระยะ 45 เมตร จากหน้าเวที ความดังมากกว่า 100dB ก็ลองคำนวณดูครับ ว่าหน้าตู้จะดังขนาดไหน แล้วทำไมแถวหน้า ๆ ถึงยังอยู่กันได้?
[flash=600,400]http://www.youtube.com/watch?v=RdGyoh3NSsk&feature=youtu.be&noredirect=1[/flash]
[flash=600,400]http://www.youtube.com/watch?v=xjQqoEh08lo[/flash]
:love2:
-
อันนี้คือรูปงานวันก่อนคับ เอเจทำหน้าที่ขับกลางแหลม ผมก็ไม่ได้เปิดหมด เพราะเปิดแค่นี้เสียงก็มาเต็ม เสียงอิ่ม ดอกไม่ขาด แต่อย่าพลั้งมือก็แล้วกัน อิอิ
(http://img.tapatalk.com/d/14/02/09/y8ase8ug.jpg)
(http://img.tapatalk.com/d/14/02/09/ne7usebe.jpg)
Sent from my iPad
-
ยินดีด้วยครับ
การจัดการระบบลำโพงยังมีเทคนิควิธีการต่าง ๆ อีกหลาย ๆ รูปแบบ เพื่อทำให้การกระจายเสียงสามารถครอบคลุมพื้นที่ใหญ่ ๆ ได้อย่างทั่วถึง ประสบการณ์ในการทำงานจริงสอนให้เรารู้ว่าจะต้องจัดระบบเสียงอย่างไรจึงจะได้เสียงตามที่เราต้องการ
ลองมาดูภาพงานที่เพิ่งจัดไปเมื่อวันที่ 6 กพ.นี้ ขนาดพื้นที่งานใหญ่กว่าสนามฟุตบอล (จำนวนโต๊ะ 767 โต๊ะ) กับงานเมื่อคืนนี้ หน้าแคบกว่า แต่ความยาวของพื้นที่ยาวกว่าสนามฟุตบอล (จำนวนโต๊ะ 600 โต๊ะ) โดยลงระบบเสียงชุดเดียวกัน
(http://upic.me/i/un/zoundman1.jpg) (http://upic.me/show/49531738)
(http://upic.me/i/sf/zoundman2.jpg) (http://upic.me/show/49531751)
(http://upic.me/i/dd/zoundman3.jpg) (http://upic.me/show/49531764)
(http://upic.me/i/5w/zoundman4.jpg) (http://upic.me/show/49531773)
โอ้...พระเจ้าจอร์ด มันยอดมาก
-
อูยยยยย ของเฮีย600 โต๊ะ
ของผมวาสนาไม่ถึงครับ 60_70 โต๊ะ ข้างหลังสุดได้แค่นี้ผมก็ปลื้มตายชักแล้วกับชุดที่มี
[flash=600,400]http://www.youtube.com/watch?v=1VOjrjg9Q7E[/flash]
[flash=600,400]http://www.youtube.com/watch?v=BEta5DdovkM[/flash]
-
อูยยยยย ของเฮีย600 โต๊ะ
ของผมวาสนาไม่ถึงครับ 60_70 โต๊ะ ข้างหลังสุดได้แค่นี้ผมก็ปลื้มตายชักแล้วกับชุดที่มี
[flash=600,400]http://www.youtube.com/watch?v=1VOjrjg9Q7E[/flash]
[flash=600,400]http://www.youtube.com/watch?v=BEta5DdovkM[/flash]
โห... มีเปิดใต้เวทีให้ดูด้วย ว่าไม่มีตู้ซุกซ่อนอยู่อีกเนอะ :hap3: :hap3: :hap3:
-
โห... มีเปิดใต้เวทีให้ดูด้วย ว่าไม่มีตู้ซุกซ่อนอยู่อีกเนอะ :hap3: :hap3: :hap3:
เปิดตูดให้ดูกันไปเลยครับ
-
เปิดตูดให้ดูกันไปเลยครับ
อิอิ ฝากวิจารณ์ผลงานของลูกชายผมด้วยครับ หมอนพ กด HD ด้วยนะครับ กิกิ
Max Bruch - Violin concerto no. 1 in g minor (1st movement) Soloist by Thaneadpol Burapaskul with TUSO Band
[flash=600,400]https://www.facebook.com/photo.php?v=10153793647805713[/flash]
-
อิอิ ฝากวิจารณ์ผลงานของลูกชายผมด้วยครับ หมอนพ กด HD ด้วยนะครับ กิกิ
Max Bruch - Violin concerto no. 1 in g minor (1st movement) Soloist by Thaneadpol Burapaskul with TUSO Band
[flash=600,400]https://www.facebook.com/photo.php?v=10153793647805713[/flash]
ดูตั้งแต่วันแรกแล้วเฮีย แต่ไม่กล้าวิจารย์ กลัวถูว่าสี่ซอให้....แมวฟัง ;D
-
ดูตั้งแต่วันแรกแล้วเฮีย แต่ไม่กล้าวิจารย์ กลัวถูว่าสี่ซอให้....แมวฟัง ;D
ก็..ดูอย่างเดียว ไม่ได้ฟังไม่ใช่รึ พอเฮียให้วิจารย์กลับจะให้เฮียฟังคำวิจารย์ซะแระ จริงๆแล้วเฮียก็ได้แค่อ่านเท่านั้นแหละ ไม่ได้ยินหรอก กิกิ ;D
-
ดูตั้งแต่วันแรกแล้วเฮีย แต่ไม่กล้าวิจารย์ กลัวถูว่าสี่ซอให้....แมวฟัง ;D
งั้นให้พี่มะละกอ วิจารณ์ก็ได้อ่ะ รบกวนพี่มะละกอด้วยนะครับ :love2:
-
เดี๋ยวต้องไปเปิดบ้านคุณแม่
เคบินที่ผมนอนนี่ ในบริเวณบ้าน เน็ทเล่นกัน 4 คน ช้ามากเลยดูยูทูบสะดุดตลอด
พวกไวโอลินคอนเซอโต้นี่ผมฟังน้อยมากนะครับ
เพลงพวกนี้ผมชอบฟังท่อนที่เป็น ADAGIO ซึ่งส่วนใหญ่จะไพเราะและรื่นหูฟังง่ายครับ
ดูน้องเค้าสมาธิดีนะครับ ออกงานบ่อยๆ จะผ่อนคลายมากกว่านี้
-
เดี๋ยวต้องไปเปิดบ้านคุณแม่
เคบินที่ผมนอนนี่ ในบริเวณบ้าน เน็ทเล่นกัน 4 คน ช้ามากเลยดูยูทูบสะดุดตลอด
พวกไวโอลินคอนเซอโต้นี่ผมฟังน้อยมากนะครับ
เพลงพวกนี้ผมชอบฟังท่อนที่เป็น ADAGIO ซึ่งส่วนใหญ่จะไพเราะและรื่นหูฟังง่ายครับ
ดูน้องเค้าสมาธิดีนะครับ ออกงานบ่อยๆ จะผ่อนคลายมากกว่านี้
ขอบคุณครับ งั้นผมจัดท่อนนี้ให้ตามคำขู่ครับ Max Bruch - Violin Concerto No 1 in G Minor, Op. 26 - Adagio
[flash=200,200]https://www.facebook.com/photo.php?v=10153795230090713[/flash]
:love2:
-
ขอบคุณครับ งั้นผมจัดท่อนนี้ให้ตามคำขู่ครับ Max Bruch - Violin Concerto No 1 in G Minor, Op. 26 - Adagio
[flash=200,200]https://www.facebook.com/photo.php?v=10153795230090713[/flash]
:love2:
เสียดาย ถ้าเป็นเพลงรักบ้านทุ่งละเข้าทางผมเลย ;D
-
Concerto อ่านให้ถูกต้องควรอ่านว่า คอนแชร์โต้
ความหมายน่าจะบอกถึงการเล่นด้วยกัน การเล่นร่วมกัน
ในแง่ดนตรีระดับนี้
Violin Concerto หมายถึงการเดี่ยวไวโอลินเล่นร่วมกับวงออเครสต้า
คือการเล่นร่วมกัน การเล่นสลับกัน
ระเบียบแบบแผนมี สามท่อนคือ เร็ว ช้า เร็ว
ที่น้องเค้าเล่นจะเล่น ท่อนที่สอง คือช้า ในความช้ามี เชื่องช้า
ผมฟังครั้งแรกเลยนะนี่ ความจริงผมฟังเพลงทุกแบบ แต่ฟังในลักษณะ
ฟังเพราะชอบฟัง ฟังเพราะเพลงมันนำพาอารมณ์ของเราให้เดินไปตามท่วงทำนองของเสียงเพลง
เพลงคลาสสิคมีระเบียบแบบแผน มีกติกาที่เคร่งครัด
เพลงคอนแชร์โต้ของไชค๊อฟสกี้ บางบทเพลงประพันธ์เสร็จ
ออกแสดงครั้งแรก พอแสดงจบ ถูกคนฟังโห่ฮาด่่าลั่น หาว่าสรกปรก ผิดแบบแผน
ผ่านไปร้อยกว่าปีผู้คนถึงเข้าใจและยกย่องเชิดชูจนทุกวันนี้
100 ปี เวลาไม่น้อยนะครับ
ให้เวลาฟังจบแค่ห้านาทีต่อให้เง็กเซียนฮ่องเต่ก็วิจารณ์ออกทะเลครับ
อีกอย่างฟังเพลงประเภทนี้มันต้องรู้ที่มาที่ไป
คือถ้าไปฟังจริงเค้าจะแจกหนังสือให้อ่านประกอบการฟังไปด้วย
ผมคงได้แค่เล่าเรื่องราวจากการฟังเท่านั้นนะครับ
ไม่กล้าขยับตัวถึงขั้นเป็นผู้วิจารณ์เพลง
และคงต้องฟังอีกหลายเที่ยวแน่นอน.....
-
:Dนี่คือสิ่งที่ผมยังวนเวียนอยู่ในเว็บนี้ครับ ขอบคุณความรู้ที่มีค่าเกินจะแปลเป็นตัวเลขครับ พี่หมอนพ เฮียAJ และป๋ามะละกอ(รักษาสุขภาพด้วยครับ)
-
คำตอบคือ ขับได้ครับ แอมป์กำลังขับสูงกว่าดอกลำโพงไม่ใช่ปัญหาในการใช้งาน ปัญหาคือต้องรู้จักการใช้งานอย่างถูกวิธีครับ
ดอกลำโพง 500Wrms /1000Wpeak จำนวนสองดอกขนานกัน จะสามารถรองรับกำลังวัตต์ได้เพิ่มขึ้นเป็น 1000Wrms/2000Wpeak ครับ ส่วนค่าอิมพิแดนซ์จะลดลงจาก 8 ohms เหลือ 4 ohms ครับ การจะดูสเปคดอกลำโพง เพื่อหาพาวเวอร์แอมป์มาใช้กับดอกลำโพง ให้ดูความสามารถในการรองรับกำลังขับ Watts ของดอกลำโพง เทียบกับพาวเวอร์แอมป์ โดยหากเป็นไปได้ให้พยายามหาพาวเวอร์แอมป์มีกำลังขับสูงกว่าดอกลำโพงสักประมาณ 30% จะดีมาก ๆ ครับ ( W ไม่ได้หมายถึงความดังนะครับ อย่าเข้าใจกันผิด ๆ การจะคำนวณว่าดอกลำโพงดอกนี้จะให้ความดังได้กี่ dB ต้องเอาค่า dB SPL 1w/1m มาคำนวณหาค่าความดังกับความสามารถในการรองรับกำลังขับของดอกอีกทีหนึ่งครับ )
จัดมาแล้วครับ ยังไม่ได้ลอง เดี๋ยวลองแล้วจะรายงาน(http://upic.me/i/60/2014-03-02-276small.jpg) (http://upic.me/show/49907607)
-
ถามจริง มาสด้าน้าขวัญ ขับได้เร็วสุดเท่าไหร่ เคยเหยียบหมดไม๊
เคยเหยียบปาเจโร่ได้แค่ 170 กว่าๆไม่ถึง 180 สงสัยคงจะหนัก(คนบนรถ8คน)