ตอนแรกผมก็ไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่ว่ามีผลต่อระบบภาพและเสียง
เพราะทะนงตนว่าเราก็เรียนช่างไฟฟ้ามา ไปเจอมาด้วยตัวเองครับ
เมื่อเราป้อนไฟฟ้าที่ไหลได้สะดวก ให้อุปกรณ์ต่างๆ เช่น LCD
ดูภาพจะมีรายละเอียดของสีอิ่มขึ้น หรือลำโพงแบบ active, Amplifier
หรือเครื่องเสียงต่างๆ เสียงที่ได้ฟังดีขึ้นมากครับ รายละเอียดและอุปกรณ์
ของถามพี่มะละกอดูครับ อาจได้ของดีราคาไม่แพง
และสำหรับท่านที่รับงานดนตรีหรือฟังเพลงตามบ้าน ใส่ใจสายนำสัญญาณ
สักนิดก็ดีครับ ง่ายๆ ไม่แพงลองหาสาย CAT5e มาถักทำสายลำโพง
หรือ interconnect ระหว่างเครื่องเสียง รับรองเสียงดีกว่าสายที่ซื้อมา
ไม่กี่ตังค์แน่ครับ ว่างๆ ก็เลยไปเดินบ้านหม้อได้ของมาทำเล่น ในภาพ
ต่อจาก DAC ไปเข้า Amplifier คุณภาพเสียงโอเคเลยครับ
มีหลายๆ เจ้าใน internet ที่ใช้สายและหัวแพงๆ มาทำเช่น Kimbler ,Furutech
หรือ web นี้ครับสายเทพ
http://www.zecable.comแต่ควรเป็นสิ่งสุดท้ายสำหรับการลงทุน
ปลั๊กไฟที่เลือกใช้นั้นมีผลต่อคุณภาพเสียงอย่างแน่นอน ตรงนี้สามารถยืนยันฟันธงกันได้ 100% เมื่อเป็นการเปรียบเทียบระหว่างปลั๊กไฟที่ได้มาตรฐานกับที่ไม่ได้มาตรฐาน แต่หากเป็นการเปรียบเทียบปลั๊กไฟที่ได้มาตรฐานด้วยกันแล้วก็คงต้องยกให้เป็นเรื่องความรู้สึกคิดเห็นของแต่ละบุคคลนั่นล่ะครับ ทั้งนี้ก็เพราะว่า
1. ระดับของความแตกต่างทางเสียงที่ได้รับเพียงเล็กน้อยไม่คุ้มค่าสำหรับคนกลุ่มหนึ่ง อาจจะถูกมองว่ามากและคุ้มค่าสุดๆ สำหรับคนอีกกลุ่มหนึ่ง
2. กรณีเปลี่ยนไปใช้ปลั๊กไฟที่มียี่ห้อและราคาสูงแล้วฟังความแตกต่างไม่ได้เลย คนกลุ่มหนึ่งก็จะบอกว่า "ฟังไม่ออก-ก็คือฟังไม่ออก" หมายถึงว่าน่าจะถึงจุดสูงสุดที่พวกเขาจะสามารถดำเนินการได้กับตรงส่วนนี้ของระบบแล้ว...และก็ไม่ต้องไปวุ่นวายอะไรกับจุดนี้อีกต่อไป (หรืออาจจะขายทิ้งแล้วกลับไปใช้ปลั๊กไฟอันเดิมที่ราคาประหยัดกว่า) ในขณะที่คนอีกกลุ่มหนึ่งจะยังเฝ้าอดทนพยายามฟังความแตกต่างของเสียงให้ออก...ให้จงได้ ซึ่งก็จะมีเรื่อง "เบิร์น-อิน" ซึ่งถูกถือให้เป็น "เทศวลี" ยอดฮิตสำหรับผ่องถ่ายคลายความกังวลของผู้ใช้งานในระยะทำใจ...ว่ามันไม่เวิร์คแล้วล่ะโยม
อันที่จริงแล้วยังมีอีกหลายส่วนในเรื่องของการเสริมคุณภาพไฟฟ้าที่จะป้อนเข้าสู่ระบบเครื่องเสียง เช่นคุณภาพของเบรคเกอร์, คัตเอาท์, สายไฟที่เดินมาจากแผงไฟ, การแยกกราวด์, การเลือกใช้ท่อร้อยสายไฟ ไปถึงการใช้อุปกรณ์รักษาระดับแรงดันไฟฟ้าและกรองสัญญาณรบกวนในกระแสไฟฟ้าต่างๆ
เมื่อมองถึงตรงนี้แล้วจะเห็นว่า ปลั๊กไฟนั้นเป็นเพียงจุดเล็กๆ ในกระบวนการส่งจ่ายไฟฟ้า ทั้งนี้ก็มิได้หมายถึงว่าปลั๊กไฟไม่ใช่สิ่งสำคัญ แต่ประเด็นที่น่าตกอกตกใจแก่ผู้ได้ไปพบ-ได้ไปเห็นก็คือบางนักเล่นที่ใช้ปลั๊กไฟราคาสูงๆ นั้นยังใช้สายไฟก่อนเข้าปลั๊กคุณภาพไม่ต่างจากที่ใช้ในห้องแถว โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ใฝ่ทดลองเล่นอุปกรณ์ในเชิงนี้ด้วยแล้วยิ่งดูไม่เหมาะสมกับการไปวิเคราะห์อภิปรายคุณลักษณะผลลัพธ์ด้านต่างๆ ที่พึงจะได้ภายใต้สภาวะแวดล้อมในการทดสอบที่เป็นตัวแปรเชิงด้อยที่สุดของระบบ..! เพราะเชื่อว่าผู้ที่สนใจเกือบทั้งหมดนั้นจะต้องการทราบผลลัพธ์ที่ได้ในสภาวะแวดล้อมของการทดสอบที่ดีที่สุด...ใกล้เคียงจุดสูงสุดของคุณภาพที่ปลั๊กไฟ หรืออุปกรณ์ทดสอบต่างๆ เหล่านั้นพึงจะให้ออกมาได้
มีข้อควรพิจารณาจากเพื่อนๆ นักเล่นรุ่นใหญ่เกี่ยวกับเรื่องปลั๊กไฟ (ซึ่งผมเองก็เห็นด้วย) ดังนี้ครับ
1. เรื่องปลั๊กไฟนั้น ควรจะเป็นประเด็นสุดท้ายในการลงทุนกับระบบเครื่องเสียง...โดยเฉพาะผู้ที่มีงบประมาณจำกัด จำเขี่ย...แต่ก็ต้องจัดระบบไฟฟ้าให้ได้มาตรฐานด้วยเพื่อความปลอดภัยในการใช้งาน
2. หากคุณกำลังจะทำห้องฟังขึ้นมาใหม่ ก็แนะนำให้เลือกใช้ปลั๊กไฟและสายไฟที่ดีที่สุดเท่าที่จะจัดหาได้ในงบประมาณขณะนั้น...อย่างน้อยๆ ก็ต้องได้ระดับมาตรฐานความปลอดภัย ทั้งนี้เพราะการจะไปปรับเปลี่ยนในภายหลังจะมีความยุ่งยากและกระทบต่อตัวห้องได้
3. "ไม่ควรคิด" แก้ปัญหาความไม่เข้ากันหรือไปกันไม่ได้ (แมทชิ่ง - Matching) ของชุดเครื่องเสียงหลัก (แอมป์ - ลำโพง - เครื่องเล่น) ด้วยปลั๊กไฟ หรือสายไฟ เช่นอาการเสียงกลางโด่งมาก แหลมกัดหู เสียงทุ้มบวมหรือลงได้ไม่ลึก เพราะถึงแม้อุปกรณ์เหล่านี้อาจให้ผลแตกต่างทางน้ำเสียงได้บ้าง แต่ก็จะ "ไม่มากพอ" ที่จะชดเชยปัญหาความไม่เข้ากันของอุปกรณ์ในส่วนเครื่องเสียงหลักได้เลย
4. มิติเวทีเสียงที่จะได้ยินนั้นเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการจัดวางตำแหน่งลำโพง, จุดนั่งฟังและสภาพทางอคุสติคภายในห้องฟังที่จะต้องเหมาะสมลงตัว ซึ่งปัญหานี้เป็นเรื่องเชิงอคุสติคที่จะต้องแก้ไขด้วยวิถีทางอคุสติค...ไม่ใช่แก้ไขด้วยการเปลี่ยนปลั๊กไฟ แต่หากการปรับเซ็ตต่างๆ มีความเหมาะสมแล้ว ปลั๊กไฟที่ดีก็มีแนวโน้มที่จะช่วยให้ความชัดเจนของมิติเสียงดีขึ้นได้เหมือนกัน
5. ลักษณะจุดตำแหน่งของเสียงในเวทีหรือที่มักเรียกกันว่า "รูปวง" นั้นเป็นสิ่งที่ถูกกำหนดไว้โดยผู้ทำการบันทึก-ผสมเสียง หรือ ซาวด์เอ็นจิเนียร์ ซึ่งสามารถฟังเปรียบเทียบตำแหน่งโดยรวมได้จากเฮดโฟน โดยไม่ควรเปลี่ยนแปรวูบวาบไปมาจากการเปลี่ยนแปลงอุปกรณ์ส่วนที่ส่งจ่ายไฟฟ้าให้กับระบบเครื่องเสียง.
.... การต่อผ่าน เซฟทีคัต กับต่อตรง การต่อผ่านเซฟทีคัตช่วยในแง่ของความปลอดภัยจากการช๊อตครับ ซึ่งแน่นอนมีผลต่อเสียงด้วย จะฟังออกหรือไม่ขึ้นอยู่กับเครื่องเสียงที่ใช้ว่าดีเพียงใด ในส่วนของการต่อตรงผมว่าต่อผ่านเบรคเกอร์แอมป์สูงๆหรือใช้สะพานไฟแบบโบราณประมาณนี้น่าจะเพียงพอแล้วและได้คุณภาพเสียงดีกว่าต่อผ่านเซฟทีคัตด้วยในขณะที่ช่วยเรื่องความปลอดภัยได้ในระดับหนึ่ง
.... เรื่องสายไฟที่เดินมาเข้าปลั๊กไฟคุณภาพสูงในความเห็นของผมตรงช่วงนี้ใช้สายหน้าตัดใหญ่หน่อย สี่สแควร์มิลมาก็เพียงพอแล้ว2.5เล็กไปหน่อย เดินมาสองเส้นแยกระหว่างดิจิตอล อนาล็อก ทำกราวด์ดีๆ สายไฟที่เดินมาจากเบรคเกอร์ผมมองว่าเดินมาโดยไม่มีการตัดต่อสายระหว่างทาง ไม่มีอะไรมาแบ่งระหว่างทางก็เพียงพอแล้ว หากลงทุนเดินสายดีๆแพงๆมาแม้มีผลกับเสียงแต่น่าจะใช้งบประมาณมากไปทั้งสายไฟดังกล่าวจะกำหนดลักษณะเสียงของทั้งระบบซิสเต็ม สู้เราเอามาทุ่มทุนตรงปลายทางกับสายไฟดีๆก่อนเข้าเครื่อง เครื่องกรองไฟดีๆประมาณนี้แล้วแยกใช้สายไฟดีๆให้เหมาะสมกับแต่ละเครื่องดีกว่าครับ จากประสบการณ์ของผมสายไฟบางเส้นดีกับเพาเวอร์แอมป์แต่กับซีดีฟังแล้วพิกลๆก็มีทั้งที่ราคาต่อเมตรไม่ใช่ถูกๆ
......เรื่องการเบริน์อิน ผมยังคงยืนยันครับว่าจำเป็นแม้กับสายไฟปลั๊กไฟเรื่องเสียบแล้วสรุปเลยไม่สามารถกระทำได้ครับเว้นแต่ burn in มาเข้าที่แล้วแบบนี้พอไหวครับ
......ที่ผมตอบมาอย่าเพิ่งด่วนเชื่อนะครับ เพราะที่จะแน่ใจได้ดีที่สุดก็ต่อเมื่อได้ลองด้วยตัวเอง แต่สำหรับผมแล้วจากที่ได้ลองมาสายไฟปลั๊กไฟเป็นส่วนที่สำคัญในระบบเครื่องเสียงด้วย แค่รางปลั๊กที่ขายทั่วไปกับรางปลั๊กดีๆที่เราทำขึ้นยังฟังออกว่าดี ดังนั้นหากเป็นไปได้ลงทุนอย่างน้อยกับการเดินสายมาใหม่ แบบไม่ตัดต่อระหว่างทางสักสี่สแควร์มิลและเต้ารับไฟที่ดีพอควรเช่นเนชั่นแนลแท้ ระบบกราวด์ที่ดีแบบนี้ก็แจ่มแล้ว (ตรงนี้คุมช่างไฟให้ดีบางคนมักจะประหยัดต้นทุน เอาสายไฟที่มีอยู่เดิมมาต่อกันระหว่างทาง จะได้ไม่ต้องไปซื้อมาใหม่ ทั้งๆที่ค่าสายไฟถูกกว่าค่าแรงแยะครับ)
......หากทำตามที่ว่าแล้วทีนี้ลองครับสลับกันฟังกับที่เคยเสียบไว้เดิมจะคิดว่ารู้งี้ทำนานแล้วครับ เพราะสายไฟ ที่เดินมาไม่ดีมีการตัดต่อระหว่างทางและ เต้ารับไฟไม่ดีพวกเต้ารับปลอม รวมทั้งรางปลั๊กที่ไม่ดี มีส่วนในการทำให้เครื่องเสียงของเราแสดงศักยภาพไม่ได้เต็มที่ครับ *จาก http://www.wijitboonchoo.com และดัดแปลงแก้ไขเพิ่มเติมโดย Headphoneguru