ครู หมายถึง ผู้อบรมสั่งสอน ผู้ถ่ายทอดความรู้ ผู้สร้างสรรค์ ภูมิปัญญา และพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เพื่อนำไปสู่ความเจริญรุ่งเรือง ของสังคมและประเทศชาติ
ความเป็นมาของวันไหว้ครูวันไหว้ครูประจำปี ซึ่งทุกสถาบันมักจะเลือกเอาช่วงเปิดภาคเรียนใหม่ๆไปแล้วประมาณสัปดาห์ 3-4
คนเราทุกคนที่เกิดมาในโลก จะต้องเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ มากมายตั้งแต่เกิดจนวาระสุดท้ายของชีวิตในวัยเด็ก ต้องได้รับการอบรมสั่งสอนจากมารดาบิดา ครั้นเติบโตขึ้นก็รับการศึกษาจากครูอาจารย์ การศึกษาในระยะแรกนี้จะเป็น พื้นฐานในการดำรงชีวิตและเป็นรากฐานของการศึกษาในขั้นสูงต่อไป เมื่อสำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนหรือสถาบันต่างๆ แล้ว ก็มิได้หมายความว่าการศึกษาเสร็จสิ้นสมบูรณ์ลงเพียงเท่านั้น เรายังจะต้องศึกษาชีวิตและการงานต่าง ๆ ต่อไปอีก ตลอดเวลาที่มีชีวิตอยู่โดยอาศัยพื้นฐานความรู้ที่ได้รับจากมารดา บิดาและครูอาจารย์ จึงเป็นบุคคลสำคัญ และเป็นผู้มีอุปการะคุณ
ของเราทุกคนการเคารพเชื่อฟังปฏิบัติตามคำสอนและยกย่องท่านในฐานะปูชนียบุคคลจึงก่อให้เกิดสิริมงคลและความเจริญก้าวหน้าในการดำรงชีวิต
ดังที่มีพระบาลีกล่าวไว้ในมงคลสูตรว่า "ปูชา จ ปูชนียานํ เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ" แปลว่า "การบูชาผู้ควรบูชา เป็นมงคลอันอุดม"
สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ตรัสสอนไว้ในเรื่องทิศ 6 ว่า ครูคือผู้อนุเคราะห์ศิษย์ด้วยการปฏิบัติ 5 ประการ คือ แนะนำดี ได้แก่ การสอนให้ศิษย์ตั้งตนอยู่ในทำนองคลองธรรม รู้จักเหตุ รู้จักผล รู้จักผิดชอบชั่วดี ให้เรียนดี คือให้ศิษย์ได้รับการศึกษาด้วยดี ไม่มีอุปสรรคขัดข้อง ได้รับความรู้อย่างเต็มที่ สอนศิลปวิทยา โดยไม่ปิดบังอำพราง คือ สอนหรือให้ความรู้จนเต็มความสามารถของตน ยกย่องศิษย์ที่มีความรู้ ความสามารถและมีความประพฤติดีให้ปรากฏ ทำความป้องกันในทิศทั้งหลาย หมายถึง ป้องกันมิให้ศิษย์ประสบความวิบัติตกต่ำในทุก ๆ ด้าน เช่น ป้องกัน มิให้ถูกใส่ร้ายป้องกันมิให้ประพฤติชั่ว ป้องกันมิให้ได้รับอันตราย เป็นต้น
บุคคลที่ปฏิบัติตนต่อผู้อื่นด้วยความประพฤติดังกล่าวอย่างครบถ้วน ย่อมถือได้ว่าเป็นครูอย่างแท้จริง แม้ผู้เป็นครูจะมีความประพฤติปฏิบัติตรงตามคำสอนของพระบรมศาสดาเพียงข้อใดข้อหนึ่งก็สมควรที่ผู้เป็นศิษย์จะต้องเคารพ ยกย่อง และการเคารพยกย่องครูนั้น ต้องเคารพยกย่องโดยความ
รู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง ย่อมถือได้ว่า เป็นความเคารพ ยกย่องที่ไม่งมงายและไม่เกิดโทษดังนั้นผู้เป็นศิษย์พึงแยกบุคคลและสภาพธรรมะหรือ
ความประพฤติออกจากกัน เป็นคนละส่วนจึงจะมองเห็นความน่าเคารพในครูอาจารย์ของตนและพึงระลึกได้เสมอว่าเราจะต้องเคารพในความเป็น ครูมิใช่เคารพบุคคลที่เป็นครู จึงจะถูกต้องตรงตามคำสอนของพระบรมศาสดา
ด้วยเหตุที่ครูเป็นบุคคลสำคัญ และพระคุณต่อศิษย์ดังกล่าวมาแล้ว ดังนั้น เมื่อจะมีการเรียนการสอนศิลปวิทยา แขนงใด ๆ ก็ตามคนไทยเราซึ่งนับถื่อพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติจึงมีการไหว้ครู เป็นการมอบตัวเข้าเป็น ศิษย์ของครูผู้ประสิทธิ์ประสาทวิชา พิธีไหว้ครูที่ทำกันมาแต่โบราณ นิยมทำกันในวันพฤหัสบดี (คติพราหมณ์ถือว่า พระพฤหัสบดีเป็นครูของเทวดาทั้งหลาย) โดยผู้เป็นศิษย์จะนำเครื่องสักการะ อันประกอบด้วย ธูป เทียน
ข้าวตอก ดอกมะเขือ และหญ้าแพรก ใส่พานและนำเข้าไปให้ครู แสดงความเคารพ (โดยการกราบ) แล้วส่งเครื่องสักการะให้ ครู และกล่าววาจามอบตนเข้าเป็นศิษย์ของครู (หากเป็นเด็กเล็ก ๆ มารดาบิดาจะเป็นผู้นำไปมอบและกล่าววาจาฝากฝัง บุตรของตนต่อครู) ครูจะรับเครื่องสักการะแล้วแนะนำสั่ง
สอนเป็นเบื้องต้น พร้อมทั้งให้พรแก่ศิษย์ หลังจากนั้นครูก็เริ่มสอนศิลปวิทยาแก่ศิษย์ต่อไปเป็นลำดับจนศิษย์มีความรู้ สามารถประกอบอาชีพได้ ครูก็จะส่งกลับคืนให้แก่มารดา บิดาเป็นอันว่าสำเร็จการศึกษา ในสมัยโบราณ ในระหว่างรับการศึกษานั้น ศิษย์จะต้องพักอยู่ในบ้านของครูช่วยทำ กิจกรรมงานต่าง ๆ ควบคู่ไปกับการเรียนส่วนครูก็จะเลี้ยงดูศิษย์ไปด้วย ดังนั้นศิษย์ในสมัยโบราณจึงเคารพนับถือครูเสมอด้วยมารดาบิดาเพราะเหตุที่ท่านให้ความอุปการะเลี้ยงดู ดุจมารดาบิดาผู้ให้กำเนิด