การใช้ LEXICON MX200
ก่อนอื่นมาทำความเข้าใจกับคุณลักษณะของอุปกรณ์ก่อนก็แล้วกันนะครับ
• 16 legendary Lexicon® reverbs โปรแกรมรีเวิร์บ 16 รูปแบบ ในเอ็ฟเฟ็คชุดที่ 1
• Lexicon delays & modulation ffects ดีเลย์และเอ็ฟเฟ็คเพิ่มเติมในเอ็ฟเฟ็คชุดที่ 2
• dbx® Dynamics โปรแกรมคอมเพรสเซอร์ของ dBx
• Dual-Processor design 2 ชุดเอ็ฟเฟ็คสามารถใช้แยกอิสระต่อกัน เหมือนกับมีเอ็ฟเฟ็ค 2 เครื่อง
• 4 Routing Configurations: เส้นทางเดินของสัญญาณ 4รูปแบบ
o Dual Mono ลักษณะนี้เอ็ฟเฟ็ค 1และ 2 จะแยกจากกันเหมือนกับใช้เอ็ฟเฟ็ค 2 ตัวผสมกันก็ได้หรือไม่ผสมกันก็ได้ขึ้นอยู่กับกับปรับที่Aux send 1/2 และ Aux Ret 1 / 2
o Cascade ลักษณะนี้สัญญาณจาก Aux1/2 จะผ่านเอ็ฟเฟ็คทั้งชุดที่ 1และ 2 เหมือนกันแต่ลักษณะมิติของเสียงจะยังไม่ใช่แบบเสเตอริโอเอ็ฟเฟ็คทางเดินของสัญญาณลักษณะนี้อาจเปรัยบเทียบคล้ายๆกับการต่อสัญญาณอนุกรมกัน
o Dual Sterio (Paralel) ลักษณะนี้เปรียบเสมือนว่าเราใช้เอ็ฟเฟ็คในแบบสเตอริโอ 2 ชุดพร้อมกันมิติเสียงที่ได้ก็จะเป็นลักษณะเสียงแบบสเตอริโอซึ่งจะมีผลกับโปรแกรมบางประเภท Digital Studio, Digital Modulate เป็นต้น
o ในแบบที่ 2 กับ 3 นั้น อันที่จริงก็คล้ายกันนะครับ แบบที่ 2 นั้นถ้าเราส่งโดย Aux 1 เข้าทางอินพุท L สัญญาณจะผ่านชุดเอ็ฟเฟ็ค 1 และก็ไปผ่านเอ็ฟเฟ็ค 2 แล้วก็ส่งไปที่ออกเอาท์พุท L ส่วนสัญญาณจาก Aux2 เมื่อส่งเข้าทางอินพุทR สัญญาณก็จะผ่าน เอ็ฟเฟ็คชุดที่ 1 ใน แล้วก็ส่งต่อไปที่เอ็ฟเฟ็คชุดที่ 2 แล้วก็ส่งไปออกที่เอาท์พุทช่องR ส่วนแบบที่ 3 นั้น สัญญาณที่ส่งโดย Aux 1 นั้นจะถูกแบ่งไปผ่านเอ็ฟเฟ็ค1/2 พร้อมๆกันแล้วจึงส่งไปออกที่เอาท์พุทช่องL ส่วนสัญญาณที่ส่งโดย AUX 2 ก็จะถูกแบ่งไปผ่านเอ็ฟเฟ็ค 1 /2 พร้อมๆกันเหมือนAux 1 แล้วสัญญาณจะถูกส่งไปออกที่เอาท์พุทR
o Mono Split ลักษณะนี้จะคล้ายกับแบบที่ 1 ในตอนขาเข้าแต่ตอนขาออกจะต่างกันเช่น AuxRet 1 ในแบบ Mono จะมีสัญญาณที่ผ่านเอ็ฟเฟ็คชุดที่ 1 และ 2 ด้วย ส่วน Aux ret2 ก็จะมีสัญญาณที่ผ่านเอ็ฟเฟ็คในชุดที่ 1 ด้วยเช่นกัน ซึ่งจะต่างกับ Dual Mono ซึ่งทั้ง Aux1 / 2 จะเป็นอิสระจากกัน
o ที่อธิบายตรงนี้ก็เพื่อให้เพื่อนสมากชิกเข้าใจในหลักการของมันก่อนนะครับเพราะว่าถ้าเข้าใจแล้ววันหลังเปลี่ยนยี่ห้อไปใช้ตัวอื่นหลักการมันก็จะคล้ายๆกันนั่นแหละครับ การเชื่อมต่อระหว่างมิกซ์ก็ทำปรกตินะครับ ก็คือใช้ Aux 1 / 2 ส่งเข้าที่อินพุทด้านหลัง แล้วส่งสัญญาณจากเอาท์พุทของเอ็ฟเฟ็คกลับมาที่มิกซ์ที่Aux RET ที่เป็นสเตอริโอนะครับ หรือถ้าที่มิกซ์เซอร์มีแชลนอลเหลือก็เข้าที่แชลนอลเลยก็ได้ เมื่อเราเชื่อมต่อแล้ว เลือกROUTINGที่เราต้องการ
o ทีนี้หลายๆคนก็คงอาจจะสงสัยว่า Routingแต่ละแบบมันควรจะใช้ในกรณีไหน
เอาอย่างนี้นะครับผมจะอธิบายแบบง่ายๆนะครับ
ถ้าเราเลือก Routing แบบที่ 1 มันจะเหมือนกับเราใช้เอ็ฟเฟ็ค 2 เครื่อง เช่นเราตั้ง โปรแกรม เอ็ฟเฟ็ค 1 เป็นโปรแกรม Vocal Plate เอ็ฟเฟ็คที่ 2 ใช้โปรแกรม DRUM Plate เมื่อเราเชื่อมต่อตามที่ผมบอกไปด้านบนแล้วเราก็สามารถใช้ Aux 1 ปรับเอ็ฟเฟ็คให้เสียงร้อง แล้วใช้ Aux2 ปรับเอ็ฟเฟ็คให้เสียงสแนร์เป็นต้น พูดง่ายๆว่าแต่ละ Aux เป็นอิสระต่อกัน
ในกรณีเดียวกันถ้าเรากดเลือกRouting แบบที่ 2 สัญญาณที่ส่งจาก Aux 1 นั้นเมื่อกลับมาที่Aux Ret1 ก็จะมีทั้งVocal Plate และ Drum Plate ออกมาทั้ง 2 โปรแกรม และ สัญญาณที่ส่งจาก Aux 2 นั้นเมื่อกลับมาที่Aux Ret2 ก็จะมีทั้งVocal Plate และ Drum Plate ออกมาทั้ง 2 โปรแกรมด้วยเช่นกัน ( ลองดูนะครับ ) ลองเลือกปรับ Routingแต่ละแบบแล้วสังเกตลักษณะเอาท์พุทของมันนะครับแล้วจะเข้าใจเมื่อเข้าใจแล้วผมเชื่อว่าเอ็ฟเฟ็คยี่ห้อไหนเพื่อนสมาชิกก็จะสามารถใช้งานมันได้แน่นอน
• 99 Factory / 99 User Programs 99 โปรแกรมจากโรงงาน สามารถปรับแต่งเก็บได้อีก 99 โปรแกรม
• USB "Hardware Plug-In" Feature ตั้งแต่ข้อนี้เป็นต้นไปส่วนมากจะเกี่ยวข้องกับงานในห้องบันทึกเสียง
• VST® and Audio Units Plug-In Software ยังไม่ต้องใช้ก็ได้
• MX-Edit™ Editor/Librarian Software
• S/PDIF Digital Input / Output
• 24 bit, 48kHz Sample Rate
ทีนี่เรามาดูรายละเอียดเกี่ยวกับปุ่มต่างนะครับผมจะอธิบายให้เข้าใจจะไม่บอกว่าอะไรควรจะปรับเท่าไหร่(เพราะบางครั้งการใช้งานในแต่ละสถานที่อาจะปรับไม่เหมือนกัน )แต่จะให้สมาชิกเข้าใจการทำงานของแต่ละปุ่มว่าควบคุมอะไร ( เวลาสอนนักศึกษาผมก็มักจะสอนให้พวกเขาเข้าใจมากกว่าให้จำนะครับ )
- โวลุ่มตัวแรก Input เป็นตัวควบคุมระดับสัญญาณขาเข้า จะปรับเท่าไหร่นั้นให้สังเกตดูว่าAux ที่เราส่งมามีความแรงแค่ไหน เมื่อเข้ามาแล้วไฟ LED เล็กๆด้านติดหรือเปล่าถ้าติดแสดงว่าแรงเกินไปก็ลด Input ลง ( การส่งจาก Aux sendนั้นโดยปรกติก็ส่งประมาณ บ่ายโมง )
- โวลุ่มตัวที่ 2 เป็นตัวผสมสัญญาณที่ผ่านเอ็ฟเฟ็คกับสัญญาณจริง ของเอ็ฟเฟ็คชุดที่ 1 ชอบแบบไหนมากน้อยอย่างไรลองปรับแล้วฟังดูนะครับ
- โวลุ่มตัวที่ 3 เป็นตัวผสมสัญญาณที่ผ่านเอ็ฟเฟ็คกับสัญญาณจริง ของเอ็ฟเฟ็คชุดที่ 2 ชอบแบบไหนมากน้อยอย่างไรลองปรับแล้วฟังดูเช่นกันนะครับ
- อ้อ ! ผมลืมบอกไปเอ็ฟเฟ็คชุด 1 และ 2 สามารถเลือกใช้เหมือนกันได้
- ปุ่มกดตัวถัดไปเป็นตัวกดเลือกโปรแกรมเอ็ฟเฟ็คของเอ็ฟเฟ็คชุดที่ 1 ไฟLed สีเขียวไปติดอยู่ที่โปรแกรมไหนก็คือการเลือกใช้โปรแกรมนั้น
- โวลุ่มตัวถัดมา(Preday)จะทำหน้าที่ 3 รูปแบบขึ้นอยู่กับโปรแกรมที่ใช้ เช่นถ้าเราใช้โปรแกรมที่เป็นพวกรีเวิร์บโวลุ่มตัวนี้จะทำหน้าที่เพิ่มหรือลดค่าของเวลาในการเกิดเสียงรีเวิร์บหลังจากเสียงจริง ( อันที่จริงเมื่อเราเลือกโปรแกรมใช้แล้วค่าตัวในโปรแกรมจะตั้งมาให้ค่อนข้างดี )แต่เมื่อเราเลือกใช้โปรแกรมประเภท Delay โวลุ่มตัวนี้จะทำหน้าที่ควบคุมเวลาหรือความเร็วช้าของเสียงตามแต่ถ้าเลือกใช้โปรแกรมประเภท Chorus Flanger โวลุ่มตัวนี้จะทำหน้าที่ควบคุมเพิ่มลดความเร็วของมันพวกมือกีตาร์จะรู้ดีว่าลักษณะจะเป็นอย่างไรกับเสียงร้องจะไม่ค่อยใช้
- โวลุ่มตัวถัดมา( Decay )ก็จะทำหน้าที่ 3 รูปแบบเช่นกันขึ้นอยู่กับโปรแกรมที่ใช้ เช่นถ้าเราใช้โปรแกรมที่เป็นพวกรีเวิร์บโวลุ่มตัวนี้จะทำหน้าที่เพิ่มหรือลดค่าความก้องกังวานหรือเปรียบเทียบง่ายๆว่าเพิ่มขนาดของห้องหรือ Hall แต่เมื่อเราเลือกใช้โปรแกรมประเภท Delay โวลุ่มตัวนี้จะทำหน้าที่ควบคุมเพิ่มหรือลดจำนวนของเสียงที่ตาม
- โวลุ่มตัวถัดมา( Variation )ก็จะทำหน้าที่ 3 รูปแบบเช่นกันขึ้นอยู่กับโปรแกรมที่ใช้ เช่นถ้าเราใช้โปรแกรมที่เป็นพวกรีเวิร์บโวลุ่มตัวนี้จะทำหน้าที่เปลี่ยนแปลงลักษณะความก้องกังวานหรือเปรียบเทียบง่ายๆว่าเปลี่ยนแปลงรูปลักษณะของห้องหรือ Hall ที่ทำให้เกิดเสียงก้องกังวานในซอฟแวร์ปลั๊กอินจะใช้คำว่า Shape แต่เมื่อเราเลือกใช้โปรแกรมประเภท Delay โวลุ่มตัวนี้จะทำหน้าที่ควบคุมเพิ่มหรือลดจำนวนของเสียงที่ตาม
- ส่วนที่เห็นปุ่ม Tempo นั้นยังไม่ต้องกดนะครับ
- Processor 2 ก็ทำหน้าที่เหมือนกันนะครับ
- ในบางครั้งเมื่อเราปรับแต่งเราก็สามารถบันทึกเก็บไว้ได้โดยหมุน Dial ไปที่โปรแกรมที่เราต้องการสมมุติว่า 2 แล้วก็กด Store ไม่แน่ใจ่ว่ากด 2 ครั้งหรือเปล่า ลองดูนะครับ เพราะว่าไม่ได้ใช้มาตั้งนานแล้ว คู่มือที่ดาวน์โหลดมาดูประกอบก็ดันทะลึ่งเป็นภาษาเยอรมันซะอีกถ้ามีตกหล่นบ้างก็ต้องขออภัยด้วยนะครับ
- เบื้องต้นสำหรับผู้ที่เพิ่งใช้ขอแนะนำให้เลือกโปรแกรมที่มีมาใช้ก่อนนะครับการเลือกโปรแกรมก็ดูที่Chart ของมันในคู่มือแล้วหมุนเลือกโปรแกรม เมื่อได้โปรแกรมที่ต้องการก็กดปุ่มหมุนลงลองใช้จากโปรแกรมหลักแล้วศึกษาจากสิ่งที่ผมแนะนำนะครับ
