Attack กำหนดความเร็วที่จะเข้าคอมเพรสเมื่อสัญญานทะลุผ่านจุดเธรสโฮลด์
ถ้าเป็นเครื่องพ่วงนอกมักจะมีไฟสัญญานเพื่อสะดวกในการอ่านค่า
Release ควบคุมความเร็วที่คอมเพรสเซอร์ปล่อยกลับสัญญานเข้าสู่ระดับเดิม
ตรงนี้แหละที่จะสามารถใช้เพิ่มความกังวาน (sustain) ให้เสียงร้องหรือกีตาร์ได้
ลองปรับกันดู เขาว่ากันไว้แบบนี้ ผมก็ยังไม่เคยได้ลองด้วยตัวเอง
บทสรุป
ดูๆเหมือนว่าข้อมูลจะเยอะแยะสักหน่อย แต่รวมๆแล้วก็ไม่น่าจะยาก มันไม่มีอะไรเป็นกฎตายตัวในการปรับแต่งคอมเพรสเซอร์
แต่ละงาน แต่ละสถานที่ มันมีความแตกต่างของอคูสติก และเครื่องมือ เครื่องดนตรี ใช้ในงานนั้นๆ
ช่างซาวด์แต่ละคนก็ต้องทดลองปรับแต่งจนได้งานออกมาที่ดีที่สุด
คอมเพรสเซอร์ เป็นอะไรที่ยอดเยี่ยมสำหรับคุมเสียงร้อง
แล้วก็ยังเปอร์เฟคสำหรับควบคุมพวกความถี่ต่ำของกระเดื่อง(Bass Drum) เบสกีตาร์
ถ้าเราสามารถจับจ่ายซื้อหามาใช้ได้มันก็จะเป็นอุปกรณ์ที่มีคุณค่าในระบบเสียงของเรา
ถามไถ่วิธีใช้มันจากคนที่รู้ มีประสบการณ์ในการใช้มาก่อน ก็จะเป็นตัวช่วยที่ดีทีเดียวเชียว
ต่อยอดกระทู้น้าป้อม เพื่อประโยชน์กับสมาชิกน่ะครับ
ฝากสูตร การใช้งานคอมเพรสเซอร์ตระกูล dbx166 ที่ผมตั้งไว้เป็นสแตนดาร์ดทุกครั้งก่อนจะใช้งาน แล้วแก้ไขเพิ่มลดตามสถานะการณ์น่ะครับ ใช้คุมไมค์ร้องอย่างเดียว เพราะผมไม่มีวงเล่นสด
- ภาค gate ผมไม่ค่อยใช้ ตั้งไว้ต่ำสุด แต่หากมีเสียงรบกวนจากสภาพแวดล้อมเยอะๆ ผมจะหมุนขึ้นมาอยู่ที่ตำแหน่ง 10 นาฬิกา เพื่อบล๊อคเสียงอื่นที่ไม่พึงประสงค์ ไม่ให้เข้าไมค์ ปุ่ม release ตั้งไว้เยอะหน่อยสักบ่ายโมง กะว่าเปิดประตูแล้วก็ค้างไว้สักหน่อย เผื่อมีใครจะตามเข้ามาอีก ถ้าสักระยะไม่มีเสียงเข้ามา gate มันก็จะปิดเราจะรู้สึกได้ถึงความเงียบจะเข้ามาเยือนในไลน์ไมค์
-ภาค compressor
ปุ่ม threshold ผมมันจะเล่นที่ตำแหน่ง -10 กะว่าพอเสียงเริ่มแรงมาหน่อยก็ให้มันเริ่มกดแบบ soft คือค่อยๆกดไม่ใช่กดแบบหักมุม
ratio ถ้านักร้องสาวหรือนักร้องคุณภาะ 2:1 ก็เพียงพอแล้ว แต่ถ้าพวกเพลงสตริงอาจไล่ตั้งแต่ 3:1 ไปจดถึง 4:1 ยิ่งมากเสียงยิ่ง
ขาดไดนามิค แต่มันจำเป็นสำหรับจัดการกับพวกแหกปาก
atteck ผมจะตั้งให้ไวเข้าไว้แต่ไม่ไวสุด ประมาณสัก 9 นาฬิกา เพราะธรรมชาติการออกเสียงของคนเวลาเปล่งเสียงจะเริ่มจากเบาแล้วแรงขึ้น และผ่อนในช่วงท้าย ไม่ใช่กระแทกตึกเดียวแบบกลอง
release สำหรับเสียงร้อง ผมจะตั้งให้มันเปิดค้างไว้สักระยะ ก่อนจะคลายเมื่อไม่มีสัญญาณ เสียงร้องจะได้ไม่ค่อยวูบวาบ ปกติผมอยู่ที่ 13 นาฬิกา
gain อันนี้สำคัญเพราะช่วยยกระดับเสียงนักร้องที่ระดับเสียงไม่ค่อยเสมอ ให้มันอยู่ในช่วงที่เหมาะสมได้ ปกติผมจะยกขึ้น 5 db เพื่อควบคุมระดับเสียงเบาให้แรงขึ้น 5 db ก่อนจะไปเริ่มถูกกดที่ตำแหน่ง -10 db ที่ผมตั้งไว้ range ความดังและเบาของเสียงจะแคบลง
เสียงจะสม่ำเสมอมากขึ้น ถ้านักร้องเสียงเบามากอาจเร่งช่วยขึ้นได้อีก แต่ต้องระวังการฟี๊ดแบ็ค หรือการหอนอย่างที่เราเรียกกัน
พูดง่ายๆคือถ้าเบาเราเร่งขึ้น แต่ถ้าแรงเราก็กด หลักมันมีแค่นี้
สุดท้ายภาค limiter
ตัวนี้สำคัญมากเพราะเป็นตัวบล๊อคความดังตัวสุดท้ายก่อนจะรอดออกไป ปกติผมตั้งไว้ที่ +5 db หมายความว่าถ้าระดับเสียงมาแรงมากจนคอมเพรสเซอร์กดไม่อยู่ เมื่อระดับเสียงที่ออกไปจากคอม ก็จะไม่แรงเกินกว่าที่ลิมิตไว้ที่ +5db ช่วยให้เราไม่ต้องเสียเงินซ่อมดอกลำโพงกันบ่อยๆ ตรงปุ่มลิมิตเคยมีคนถามผมว่าทำไมไม่ตั้งไว้ที่ 0 ผมบอกไปว่าเพราะผมไม่อยากฟังเสียงนักร้องที่เรียบแบนเป็นกระดาน
เลยยอมให้มันพี๊คบ้างแต่พองาม