ความดันโลหิตสูง(Hypertension=HT)
นิยาม ตรวจความดันโลหิต ได้ systolic blood pressure มากกว่า 140 mmHg หรือ Diastolic blood pressure มากกว่า 90 mmHg วัดอย่างน้อย 2 ครั้ง ในภาวะปกติ ห่างกัน 30 นาที
แบ่งตามสาเหตุ ได้2ประเภทคือ
1 ssential hypertension (ไม่่ทราบสาเหตุ) พบได้ร้อยละ 90-95 อายุที่เริ่มเป็น ประมาณ 40-60ปี โดยต้องไม่มีลักษณะของ secondary hypertension
(ปัจจุบัน สันนิฐานว่า เกิดจาก multifactorial เช่น สูบบุหรี่ เบาหวาน ไขมันในเลือดสูง อ้วน ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ทำให้เสส้นเลือดตีบและแข็ง (Aterosclerosis) เป็นผลทำให้เกิดความดันโลหิตสูงตามมา)
2 Secondary hypertension(ทราบสาเหตุ)รักษาได้หากกำจัดสาเหตุได้ เกิดได้จาก
2.1 -โรคไต ได้แก่ไตวายเฉียบพลันและเรื้อรัง
-โรคเส้นเลือดไตตีบ (renal artery stenosis)
2.2 โรคต่อมไร้ท่อ ได้แก่
- เบาหวานที่มีภาวะแทรกซ้อนทางไต (Diabetic nephropathy)
- ภาวะฮอร์โมน Aldosterone มากเกินไป (hyperaldosteronism)
- เนื้องอกของต่อมหมวกไตที่หลั่ง ฮอร์โมน Norepinephrine มาก (Pheochromocytoma)
- Cushing's syndrome จากภาวะฮอร์โมน Cortisol สูง เช่น เนื้องอกต่อมหมวกไต กินยา อาหาร หรือสมุนไพรที่มี steroid เป็นเวลานาน เนื้องอกของต่อมใต้สมอง(pituitary)
- ภาวะธัยรอยด์ เป็นพิษ
เป็นต้น
2.3 โรคทางระบบหัวใจและหลอดเลือด
- Coarctation of aorta (โรคเส้นเลือดแดง Aorta ตีบแคบโดยกำเนิด)
- Takayasu's arteritis โรคเส้นเลือดอักเสบ แล้วมีการเชื่อมกันที่ผิดปกติของหลอดเลือด
2.4 Obstructive sleep apnea โรคททางเดินหายใจอุดกั้นขณะหลับ พบในคน อ้วน
2.5 ยา เช่น ยาคุมกำเนิด ยาแก้ปวดแก้อักเสบกลุ่ม NSAIDs
2.6 ปฏิกิริยาของร่างกาย เช่น ไข้ หอบหืด
อาการ-ผู้ป่วยHTส่วนใหญ่จะไม่มีอาการ มักตรวจพบโดยบังเอิญ
อาจมีหงุดหงิดกระวนกระวายได้
-ในรายที่มีภาวะแทรกซ้อนอาจทีอาการ
-ปวดศีรษะ
-ซึม - ชัก
- ตามัว
- คลื่นไส้อาเจียน
- เจ็บแน่นหน้าอก
- หายใจหอบ
- ปวดร้าวทะลุหลัง
- ปัสสาวะไม่ออก
- อัมพาตครึ่งซีก
ภาวะแทรกซ้อน ระบบประสาท
- ซึม-ชัก (Hypertensive ncephalopathy)
- เลือดออกในสมอง (Intracranial hemorrhage)
- เลือดออกในเยื่อหุ้มสมองชั้น arachnoid (Subarachnoid hemorrhhage)
- โรคหลอดเลือดสมอง (ตีบ แตก หรือ ตัน) (Stroke) ทำให้อัมพาตครึ่งซีก
ระบบหัวใจและหลอดเลือด
- โรคหัวใจขาดเลือด (Acute myocardial infarction)
- ภาวะหัวใจห้องล่างซ้ายบีบตัวผิดปกติ
- น้ำท่วมปอด (acute pulmonary dema)
- หลอดเลือดแดง Aorta ปริแตก (Aortic dissection)
ไต
- ไตวายเฉียบพลัน ( Acute renal failure )/ ไตวายเรื้อรัง (Chronic renal failure)
อื่นๆ เช่น ตา Hypertensive retinopathy ทำให้ตามัว-บอด
การแบ่งระดับของ ความดันโลหิตสูง ตาม JNC-7 classification เพื่อใช้ในการรักษา
การรักษาผู้ป่วยกลุ่ม Pre-hypertension การรักษาคือ การปฏิบัติตัว(life style modification) ได้แก่
1 ลดน้ำหนักหรือควบคุมน้ำหนัก ให้ได้ BMI น้อยกว่า 23 [BMI=นน.เป็น กก./(ส่วนสูงเป็นเมตร)
2]
2 การรับประทานอาหาร ควรจำกัดปริมาณแคลอรีต่อวัน วางแผนในการรับประทานอาหาร รับประทานผักผลไม้มากๆ นมต้องเป็นชนิดไขมันต่ำ จำกัดอาหารมันโดยเฉพาะไขมันจากสัตว์ เช่น ไข่แดง ตูดเป็ด อาหารทะเล อาหารทอด อาหารผัด ขนมหวาน
3 จำกัดเค็ม ต้องกินเค็มน้อยกว่าคนปกติ โดยเกลือที่ได้รับไม่ควรเกิน 6 กรัม/ วัน
4 ออกกำลังกาย อย่างน้อยวันละ 30 นาที สัปดาห์ละไม่ต่ำว่า 5 ครั้ง ยกเว้นการออกกำลังกายที่ต้องใช้แรงเบ่ง เช่น ยกน้ำหนัก งัดข้อ จะทำให้ความดันสูงมากขึ้น
5 ไม่ดื่มเครื่องดื่ม alcohol
6 ไม่สูบบุหรี่
7 ทำจิตใจให้แจ่มใส ไม่เครียด
--ผู้ป่วย HT stage1 ที่ไม่มีโรคร่วม(เบาหวาน ไขมันในเลือดสูง ไตวายเรื้อรัง โรคอ้วน โรคเกาท์)และไม่มีภาวะแทรกซ้อน การรักษาคือ การรักษาด้วยยาลดความดันโลหิต 1 ตัว ร่วมกับ life style modification
โดย ความดันโลหิตเป้าหมายอยู่ที่ SBP<140 และ DBP < 90 mmHg
--ผู้ป่วย HT stage2 หรือมีโรคแทรกซ้อนด้วย การรักษาคือ การกินยาลดความดัน ตั้งแต่ 2 ชนิดขึ้นไป+life style modification ในรายที่มีโรคร่วมและภาวะแทรกซ้้อน ความดันโลหิตเป้าหมายอยู่ที่ SBP<130 และ DBP < 80 mmHg
รู้จักความดันโลหิตสูงกันแล้ว บางท่านอาจอยากรู้ว่าการทำงานของร่างกายในการควบคุมความดันมันเป็นอย่างไร ตามมาทางนี้เลยครับ.....
ความดันโลหิต หรือ Blood pressure (BP) คือแรงของเลือดในเส้นเลือดที่กระทำกับพื้นที่ผนังของหลอดเลือด มีหน่วยเป็น mm ของ ปรอท(Hg)
ทำไมต้องมีค่าความดัน 2 ค่า?ตอบ เนื่องจากเส้นเลือดเรามีความยืดหยุ่น สามารถหดและขยายได้ไม่เหมือนท่อประปา จึงมีความดันไว้อ้างอิง 2 ตัวครับ
ตัวแรกคือความดันโลหิต(ต่อไปผมจะเรียกว่า BP) สูงสุดขณะหัวใจบีบตัว เรียก systolic blood pressure หรือ SBP บ่งบอกถึง แรงในการบีบตัวของหัวใจ และ ปริมาณเลือดในเส้นเลือด
BP ตัวหลัง คือ ความดันโลหิตต่ำสุดขณะหัวใจคลายตัว เรียก Diastolic blood pressure หรือ DBP ตัวนี้บ่งบอกถึงความยืดหยุ่นของผนังเส้นเลือดเราครับ ถ้าต่ำแสดงว่าเส้นเลือดยืดหยุ่นดี ถ้าสูงแสดงว่าเส้นเลือดแข็ง--->ซึ่งไม่ดี เช่น เกิดจาก การสูบบุหรี่ ไขมันหรือหินปูนเกาะเส้นเลือด หรือโรคการสร้างเนื้อเยื่อเกี่ยวพันผิดปกติ
การเขียน BP จึงเขียน SBP/DBP เช่น 120/80 mmHg
สรีรวิทยาของความดันโลหิต(คร่าวๆ สำหรับชาวบ้าน)
ปัจจัยการแปรผันของ BP คือ
1 Cardiac output (CO) คือ ปริมาตรของเลือดที่ออกจากหัวใจใน 1 นาที ซึ่งแปรผันตาม
1.1 Heart rate (HR) คือ อัตราการเต้นของหัวใจ ใน 1 นาที
1.2 Stoke volume (SV) คือ ปริมาตรของเลือดที่ถูกหัวใจบีบออกมาในแต่ละครั้ง
ดังนั้น CO = HR x SV
2 Total peripheral vaascular resistance คือ ความต้านทานรวมของหลอดเลือด
จากกฎ ของ Ohm เลยครับ V=IxR เหมือนกันเลยครับ
ดังนั้น
BP = CO x TPR = HR x SV x TPRจากรูป อธิบายได้ว่า
Cardiac output จะขึ้นกับ
1 HR ของเรา ขึ้น กับระบบประสาทอัตโนมัติ ซึ่งได้แก่ sympathetic และ parasympathetic โดย sym จะเพิ่มHR ส่วน parasym จะลด HR โดยสมองของเราจะสั่งว่าเวลาไหนจะใช้ระบบประสาทตัวไหน เช่น เวลาไฟไหม้ sym จะทำงาน HR จะเพิ่มขึ้น ในเวลาพักผ่อน parasym จะทำงานมากกว่า HR จึงเต้นช้าลง
2 SV ขึ้นกับ
2.1 Sympathetic ทำให้หัวใจบีบตัวแรงข้ำ SV จะมากขึ้น
2.2 Venous return (VR) คือปริมาณเลือดที่ไหนกลับสู่หัวใจห้องขวา ซึ่งขึ้นกับ
2.2.1 ระบบประสาท Sym(อีกแล้ว) ทำให้หลอดเลือดทั่วร่างกายขยายตัวรับเลือดได้มาก
2.2 2 ฺBlood volume คือ เลือดในหลอดเลือด โดยปริมาณเลือดจะขึ้นกับความเข้มข้น(osmolarity)โดยมีตัวแปรสำคัญที่ทำให้ความเข้มข้นสูงคือ เกลือ โซเดียม (Na) นี่เเป็นเหตุผลว่าทำไมกินเกลือแล้วความดันโลหิตสูง
2.2.3 Respiration + cardiacsuction หรือ การหายใจ เวลาเราหายใจเข้าความดันในช่องอกจะมากขึ้นเป็นแรงดูดเลือดเข้าหัวใจดังนั้นเวลาหายใจเข้าจึงทำให้ BP สูงมากกว่าการหายใจออก
2.2.4 Skeletal muscle activity คือการทำงานของกล้ามเนื้อลาย ที่เราใช้ๆกัน เช่น วิ่ง เดิน การทำกิจกรรมต่างๆที่ต้องเคลื่อนไหวร่างกาย
มาถึงตรงนี้บางท่านอาจคิดว่าแล้วออกกำลังกายทำไม ความดันก็สูงสิ---- ตรงนี้จริงครับ แต่เป็นช่วงสั้นๆที่จะทำให้ความดันสูง ซึ่งการออกกำลังกายจะทำให้หัวใจเราต้องสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆ จะททำให้หัวใจเรามีความแข็งแกร่งทนต่อสภาวะ ตึงเครียดของร่างกาย ในเวลาปกติหัวใจเราจะบีบตัวอย่างมีคุณภาพ เช่น นักกีฬา HR จะต่ำแต่การสูบฉีดเลือดดี ทำให้ความดันเป็นปกติ ตามสูตร CO=HRลด x SVเพิ่ม
มาดูอีกด้าน
TPR จะขึ้นกับ
1 รัศมีของ หลอดเลือดแดง (Arterial radius) ยิ่งหดยิ่งความดันสูง ซึ่งขึ้นกับ
1.1 Local metabolic control คือ ความต้องการเลือดของเนื้อเยื่อครับ เวลาเราออกแรง เส้นเลือดจะขยายเพื่อเอาเลือดมาเลี้ยงตัวมันให้มาก
1.2 Extrinsic vasoconstrictor control คือ การควบคุมการหดตัวของหลอดเลือดจากปัจจัยภายนอกซึ่งได้แก่
1.2.1 Sympathetic activity (อีกแล้วครับท่าน) เมื่อมีกระแสประสาทจาก Sym มาสั่งการจะทำให้หลอดเลือดหดตัวเพิ่มความดันขึ้น โดยการส่งกระแสประสาทไปหลอดเลือดให้หดตัวคือ สารสื่อประสาทที่ชื่อว่า Adrenaline เป็นหลักและอีกหลายตัว เช่นNoreadrenaline, Dopamine เป็นต้น
1.2.2 Hormoneต่างๆ เช่น Vasopressin และ โดยเฉพาะ Angiotensin II ซึ่งสร้างมาจากกระบวนการ Renin angiotensin aldosterone system (RAAS) เป็นระบบ sensor ที่หน่วยไตเราครับ การทำงานคือ เมื่อ เกลือNa ผ่านการกรองที่ไตลดลง sensor จะส่งสัญญาณไปให้หน่วยไตหลั่ง Renin เพื่อไปเปลี่ยน Angiotensinogen จากตับ เป็น angiotensin I แต่ตัวนี้ยังทำงานไม่ได้ ต้องไปเปลี่ยนเป็น Angiootenin II ที่ปอดด้วย เอนไซม์ Angiotensin converting nzyme (ACE) แล้ว ฮอร์โมนตัวนี้จะไปกระตุ้นต่อมหมวกไตให้หลั่งฮอร์โมนอีกตัวคือ Aldosterone ไปทำหน้าที่บริเวณท่อไตให้ดูดน้ำกลับ แล้วขับ โพแทสเซียม แลกกันกับ Na เพื่อให้ได้ น้ำและเกลือ Na กลับมา
นอกจากนี้ Angiotensin II ยังไป- กระตุ้นให้หลอดเลือดหดตัว
- ไปเพิ่มการทำงานของ Sym
- กระตุ้นให้หลั่ง ADH จากต่อมใต้สมอง มาเพิ่มการดูดกลับน้ำที่ท่อไต
สรุป Angiotensin II ทำให้ มีการดูด น้ำ เกลือ Na และ ทำให้เส้นเลือดหดตัว เกิดความดันเพิ่มขึ้น โดยมีผลข้างเคียงคือ เสีย เกลือ โพแทสเซียม(K) ไปกับปัสสาวะ
2 Blood viscosity คือความหนืดของเลือด ขึ้นกับ ปริมาณ เม็ดเลือดแดง(Rbc)และโปรตีนในเลือดเช่น globulin ถ้ามีมากก็หนือดมาก BP ก็สูง
อันนี้คร่าวๆนะครับ เพื่อความเข้าใจ จะเห็นว่ามีหลายปัจจัยในการควบคุมความดันเลือด
วันหลังจะเอา เรื่อง ยาลดความดันมาเล่าต่อ ว่ามันลดยังไง ลดตรงไหน สนุกๆ ประดับความรู้
วันนี้เมื่อยมือแล้วครับ
:mad244: :mad244: