สามสี่คำนี้กำลังมาแรงขึ้นเรื่อย ๆ ผมขอรวบรวมมาไว้เป็นข้อมูล
ได้มาจากเว็บเพื่อนบ้านหลาย ๆ ที่ ..ครับ
Hi-Def High-definition หมายถึง ระบบวิดีโอ ระบบการแพร่กระจายสัญญาณโทรทัศน์ วิดีโอฟอร์แมทใด ๆ ที่ให้ความคมชัดสูงกว่าฟอร์แมทธรรมดา (NTSC, SECAM, PAL) จะให้ได้สัญญาณความคมชัดสูง ต้องการเครื่องรับโทรทัศน์ หรือจอมอนิเตอร์คอมพิวเตอร์ ความคมชัดสูง เพื่อใช้ดูภาพ ในทุกวันนี้ ระบบ HD เพื่อการค้าจะเป็นดิจิตอลทั้งหมด ดังนั้น สัญญาณจะให้ภาพออกมาที่ดีเยี่ยม ภาพที่สามารถเห็นในระดับพิกเซลได้ ชุดของภาพนิ่ง หรือไม่ก็ไม่มีภาพเลย ระบบจะไม่สามารถสร้างภาพที่เป็นสโนว์หรือภาพสีตกจากสัญญาณที่อ่อน ผลจากการรบกวน เช่นภาพลายเป็นบั้ง ๆ หรือ ม้วนทางแนวตั้ง รายการและภาพยนตร์ของ HD จะเป็นฟอร์แมทจอกว้าง 16 : 9 สีที่ได้ปกติจะดูได้สมจริงมากขึ้น จากการที่มีแบนด์วิดท์ที่มากกว่า รายละเอียดของภาพโดยรวมจะมีมากกว่า ประมาณ 2 - 5 เท่า ช่องว่างระหว่างเส้นสแกนจะน้อยมากหรือมองไม่เห็นเลย เนื้อหาของทีวีเก่า ๆ ที่ถ่ายทำและเก็บไว้บนฟิลม์ 35 มม. จะสามารถดูได้ใกล้เคียงกับรายละเอียดที่ได้ถ่ายไว้ตั้งแต่แรก การเพิ่มขึ้นของความชัด และรายละเอียด ทำให้การดูด้วยขนาดจอที่ใหญ่ขึ้นสามารถรับชมได้ด้วยความประทับใจและสะดวกสบายมากขึ้น
HD หรือ High Definitionระบบ ภาพความละเอียดสูง ทีวีแบบ HD นั้นภาพต้องใหญ่มีรายละเอียดสูง ความจุต้องมากขึ้น แค่ DVD แผ่นเดียวนี่ไม่พอ เลยต้องมีแผ่นสำหรับ HD TV ซึ่งจะเก็บข้อมูลได้เป็น 3 เท่าของแผ่น DVD ทั่วไป
ฟอร์แมตของระบบสัญญาณภาพที่ใช้ในระบบ HDTV
720p - 1280x720 pixels progressive
1080i - 1920x1080 pixels interlaced
1080p - 1920x1080 pixels progressive
ระบบภาพของ HDTV จะเป็น 16:9 (1.78:1) ซึ่งใกล้เคียงกับระบบภาพภาพยนตร์ ซึ่งมีขนาด 1.85:1 หรือ 2.35:1
โทรทัศน์ที่จะสามารถรองรับสัญญาณภาพแบบนี้ได้ จะเขียนว่า HDTV หรือ HD TV Ready
HDMI คือสัญญาณภาพที่รองรับการส่งระบบสัญญาณภาพแบบดิจิตัล ให้คุณภาพดีกว่าส่งด้วยสัญญาณภาพแบบอะนาล็อก
นับจากนี้ไป HDMI คือ มาตราฐานการต่อสัญญาณภาพแบบ HD, DVI คือมาตราฐานที่ออกมาขัดตาทัพก่อน HDMI จะออกมากันเกลื่อน
ดังเช่นทุกวันนี้...เพราะมาตราฐาน HDMI สูงกว่า DVI สามารถรองรับแบนด์วิธได้กว้างกว่า
HD (High Definition) Signalหมายถึง สัญญาณภาพที่มีรายละเอียดความคมชัดสูง โดยจะหมายถึง
สัญญาณภาพที่มีรายละเอียดสูง 720p (1280x720 Pixels)
ขึ้นไปจนถึง1080p (1,920 x 1,080 Pixels)
ส่วนคำว่า Full HD จะหมายถึงสัญญาณภาพที่มีรายละเอียด 1080p
ซึ่งมีจำนวน Pixel เท่ากับ 1,920 x 1,080 Pixels
แต่จะเป็นการสแกนในระบบ Progressive Scan 1080 เส้นได้
HD TV Ready (High Definition Television Ready)
หมายถึง จอภาพที่สามารถรับสัญญาณภาพที่มีรายละเอียดสูง
แบบสัญญาณภาพ HD 720p ขึ้นไปจนถึง1080i ได้
(ไม่มี Tuner แบบ HD แต่สามารถรับสัญญาณแบบ HDได้)
HD TV Ready 1080p
หมายถึง จอภาพที่สามารถรับสัญญาณภาพที่มีรายละเอียดสูง
แบบสัญญาณภาพ HD 720p ขึ้นไปจนถึง1080p ได้
(ไม่มี Tuner แบบ HD แต่สามารถรับสัญญาณแบบ HD 1080p ได้)
HD TV (High Definition Television)
หมายถึง จอภาพที่มีเครื่องรับสัญญาณภาพรายละเอียดสูง
แบบสัญญาณภาพ HD 720p ขึ้นไปจนถึง1080p ได้
ซึ่งติดตั้งมากับจอภาพเรียบร้อยแล้ว
(มี Tuner แบบ HD ติดตั้งมาด้วย)
มาตรฐาน HD 1080 จะมีทั้ง 1080p และ 1080i ทั้งคู่เป็น Hi Def แสดงผลเป็น 1080 เส้น หรือ 1080 พิกเซล ตามแนวตั้งของจอ
แต่ 1080p จะแสดงภาพตามแนวตั้งเรียงจากเส้น หรือ พิกเซลที่ 1 จนถึง 1080 ทีเดียว ทำให้ภาพแน่นกว่าส่วน 1080i ภาพจะถูกแบ่งเป็น 2 field คือฟิลด์เส้นคี่ กับฟิลด์เส้นคู่ ฉายคนละครั้งแล้วเอามารวมกันเป็น 1 ภาพ ดังนั้น 1080p จึงเป็นสเป็คที่ดีที่สุด ซึ่งเป็นมาตรฐานของแผ่น Blu Ray ถ้าต้องการจอที่ใช้รองรับการเล่น Hi Def เต็มระบบ สเป็คมาตรฐานที่ดีที่สุดตอนนี้คือ
native resolution 1920 x 1080 pixel, รองรับสัญญาณ 1080p และรองรับ 24 fps หรือแสดงภาพ 24 เฟรมต่อวินาทีซึ่งจะเท่ากับระบบที่ฉายในโรงภาพยนตร์พอดี
รูปแบบหรือระบบของสื่อหรือเทปที่บันทึก DV HDV VHS BETACAM
รูปแบบการบันทึกหรือเทปก็มี 2 มาตรฐาน
ใน ระบบ SD จะมีเทปเช่น U-Matic , VHS ,SVHS ,BETACAM SP , BETACAM SX ,Betacam IMX, DIGITAL BETACAM , XDCAM , D1 , D5 , D9 , DV, DVCAM , DVC Pro tc. เยอะแยะไปหมด หลายๆตัวผมคิดว่าคงผ่านหูผ่านตามาบ้างนะครับ เทปที่กล่าวมานี้ จะอยู่ในมาตรฐานที่ใช้ในการออกอากาศในบ้านเรา เนื่องจากมีขนาดของภาพเท่ากัน หรือขาดเกินนิดหน่อย คือ 768x576 หรือ 720x576 ที่ผมกล่าวมานี้เฉพาะระบบ โทรทัศน์ในบ้านเรานะครับ คือ PAL System
เทป แต่จะแบบให้คุณภาพไม่เท่ากัน มีการเก็ยรายละเอียดของข้อมูลบนเทปไม่เหมือนกัน บางแบบมีการบีบอัดสูงมีการลดทอนรายละเอียดลงเพื่อที่จะเก็บได้ง่ายมีขนาด เล็ก อะไรพวกนี้...
ในระบบ HD จะมี Format เทปเช่น HDV , DVC Pro HD , HDCAM , HDCAM SR , XDCAM HD , D5 HD , P2 HD , VariCAM tc.
เทป ที่กล่าวมานี้จะเป็นแบบความคมชัดสูง (กว่า SD) คือมีขนาดของภาพตั้งแต่ 720p ไปจนถึง 1920 x 1080 pixel สุดแล้วแต่จะเป็น format แบบใด คุณภาพของภาพก็เช่นกัน ในระบบ HD นี้เทประบบ HDV จะมีคุณภาพต่ำสุดซึ่งมีใช้ในกล้องวืดีโอ Handycam ที่จำหน่ายในปัจจุบัน ส่วน HDCAM SR จะมีคุณภาพสูงสุดจากที่กล่าวมา (แต่ยังมีอย่างอื่นสูงกว่าอีก) HDCAM SR ดูได้จากภาพยนต์เช่น Starwar Episode 1 เป็นเรื่องแรกๆที่ใช้กล้อง Sony HDCAM CinaAlta สนใจอ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่ครับ
http://www.starwars.com/episode-iii/btsส่วนในบ้านเราก็มีภาพยนต์หลายเรื่องที่ใช้ HD ครับ ใช้ HDV ก็มีเรื่อง Final Score ครับ HD ตัวใหญ่ก็เรื่อง หนูหิ่น
เทปแบบ DV และ HDV จะมีรูปร่างเหมือนกันมีขนาดเท่ากันต่างกันตรงข้อมูลที่บันทึกลงไปมีรูปแบบไม่เหมือนกันครับ
เทป ทั้งสองแบบถูกวางระดับอยู่ที่ Comsumer Product ก็คือออกแบบมาให้คนธรรมดาทั่วไปใช้งาน คุณภาพของภาพสู้ไม่ได้เมือเทียบกับเทปหรือกล้องที่บันทึกในระดับมืออาชีพ
เครดิตข้อมูล :
http://www.oknation.net/blog/pikkapopx3/2008/12/29/entry-1 HDMIผ่าข้างในสาย HDMI
หัวแปลง HDMI >>> DVI .... DVI-HDMI
DVI ก็คือ สองขั้วที่เหมือนกันทางขวามือ ส่วนสีดำกลมทางซ้ายมือก็คือ TV-out ที่สามารถแปลงออกมาเป็น Component, S-Video, หรือ AV
(ส่วนขั้ว DVI จะเห็นขา 4 ขาที่วางเป็นสี่เหลี่ยมที่มุมด้านหนึ่งนั้นจะเป็นขาสัญญาณ VGA เอาไว้ให้หัวแปลงเป็น VGA ต่อเอาสัญญาณออกมา)
HDMI ย่อมาจากคำว่า (H)igh (D)efinition (M)ultimedia (I)nterface โดย HDMI จะเชื่อมต่อทั้งสัญญาณภาพและเสียงระบบดิจิตอลแบบไม่มีการบีบอัดข้อมูลไว้ใน สายสัญญาณเพียงเส้นเดียว ให้ความคมชัดของภาพ มีความละเอียด มีความคมลึกและให้เสียงที่สมบูรณ์แบบที่สุดเท่าที่เคยมีมา ขั้วต่อของ HDMI to HDMI จะผลิตจากทองแท้ 24 K ทุกวันนี้ HDMI ถูกนำมาใช้กับอุปกรณ์ Home Theater หลายอย่างเช่น พลาสม่าทีวี แอลซีดีทีวี เครื่องเล่นดีวีดี ฯลฯ ซึ่งรองรับการถ่ายทอดสัญญาณเสียง LPCM, Dolby Digital, DTS, DVD-Audio, Super Audio CD, Dolby TrueHD, DTS-HD Master Audio, MPCM
รองรับการถ่ายทอดสัญญาณวีดีโอ 480i, 480p, 576i, 576p, 720p, 1080i, 1080p, 1440p, 1600p และความละเอียดที่รองรับบนจอแสดงผล
แบนด์วิธการรับส่งข้อมูล HDMI 1.3 = 10.2 Gbit/s (340 MHz)
การใช้งานด้านมัลติมีเดีย สนับสนุนการเชื่อมต่อมัลติมีเดียความละเอียดสูงHigh-Definition Multimedia Interface (HDMI) เป็นรูปแบบการเชื่อมต่อการ์ดแสดงผลหรืออุปกรณ์เข้ากับจอแสดงผล ซึ่งจอแสดงผลนั้นจะต้องรองรับ HDMI Port หรือใช้ DVI to HDMI Adaptor ก็ได้ หากจำได้สมัยแรกๆเราใช้การเชื่อมต่อแบบ D-Sub (VGA) ต่อมาเราก็ใช้ DVI ซึ่งนั่นคือเรื่องการแสดงผลภาพ แต่สำหรับการประมวลผลเสียง การขับเสียงนั้น อาจจะต้องใช้ซาวด์การ์ดช่วย แต่สำหรับ HDMI นั้น จะรวมเอาการประมวลผลทั้งภาพและเสียง โดยที่ไม่ถูกบีบอัดหรือลดทอนประสิทธิภาพในการเล่นไฟล์วีดีโอแบบดิจิตอล เมื่อเทียบกับการเชื่อมต่ออนาล็อกอย่างสมัยก่อนเช่น Radio Frequency (RF) สายสัญญาณ coaxial (สายอากาศทีวี วีดีโอ) สาย composite สาย S-Video และ SCART สาย component รวมไปถึง D-Terminal และ VGA ที่กล่าวมาทั้งหมดเป็นการเชื่อมต่อแบบอนาล็อก แต่กับ HDMI จะเป็นการเชื่อมต่อแบบดิจิตอล การเชื่อมต่อ HDMI เราจะพบได้จาก set-top boxes เครื่องเล่น Blu-ray คอมพิวเตอร์พีซี เครื่องเล่นเกมคอนโซล (เช่น3 และ Xbox 360) และเครื่องรับสัญญาณ AV ที่สนับสนุนอุปกรณ์เสียงระบบดิจิตอล จอคอมพิวเตอร์ และเครื่องรับโทรทัศน์ระบบดิจิตอล PlayStation
HDMI สนับสนุนการแสดงผลบนเคเบิลทีวี ทีวี หรือคอมพิวเตอร์พีซี บนมาตรฐานการแสดงผลความละเอียดสูง ระบบเสียง 8 แชนแนล และอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าไอที ข้อดีของการเล่นวีดีโอ MPEG ก็คือถอดรหัสโดยไม่สูญเสียรายละเอียดและลดทอนคุณภาพลง โดยสามารถแสดงผลวีดีโอที่ไม่ถูกบีบอัดผ่านการเชื่อมต่อ HDMI หากใครใช้ HDMI Adaptor แปลงจาก DVI เป็น HDMI ก็ใช้งานได้เหมือนกันโดยไม่ถูกลดทอนคุณภาพลง
เราจะพบเห็นพอร์ต HDMI ได้จากอุปกรณ์ใดบ้าง
- เมนบอร์ดรุ่นที่รองรับ HDMI ล้วนแต่ชูจุดเด่นด้านเกมและมัลติมีเดีย
- การ์ดแสดงผลที่รองรับ HDMI จะมี 2 แบบคือ HDMI Onboard เป็นแบบ Native HDMI กับ DVI จะใช้ตัวแปลง DVI to HDMI adaptor เพื่อต่อกับจอภาพ
- จอ LCD ส่วนมากมาพร้อมพอร์ต DVI หากต้องการเชื่อมต่อ HDMI ให้ใช้งานผ่าน DVI to HDMI adaptor แทน
- หากเป็นจอ LCD TV ขนาดใหญ่ที่รองรับ HDMI Port ก็สามารถเชื่อมต่อกับการ์ดแสดงผลหรือเมนบอร์ดได้ทันที โดยผ่าน DVI to HDMI adaptor หรือสาย HDMI โดยตรง
- ใช้งานกับการ์ดแสดงผลทั่วๆไปที่มีพอร์ต DVI ทั้ง DVI-D และ DVI-I ด้วยตัวแปลง DVI to HDMI Adaptor
HDMI มีหลาย Version 
HDMI คืออะไร มาตรฐาน HDMI เป็นมาตรฐานการส่งข้อมูลที่ทาง Sony, Hitachi, Thomson (RCA), Philips, Matsushita (Panasonic), Toshiba และ Silicon Image ได้พัฒนาขึ้น โดยชื่อ HDMI นี้เป็นตัวย่อที่ย่อมาจาก High-Definition Multimedia Interface ซึ่ง ความหมายของมันก็ตรงประเด็นครับ คือเป็นการเชื่อมต่อสำหรับมัลติมีเดียความละเอียดสูงนั่นเอง และด้วยความที่มันได้รับการออกแบบมาเพื่อรองรับมัลติมีเดียนั่นเอง
จึงทำให้มันมีจุดเด่นตรงที่มันรองรับการส่งทั้งสัญญาณภาพและเสียงไปพร้อมๆ กันบนสายเคเบิลเส้นเดียวกัน ผ่านพอร์ตๆ เดียวกัน ซึ่งเป็นการเพิ่มความสะดวกสบายและลดความสับสนในการเชื่อมต่ออุปกรณ์ลงได้ อย่างมากทีเดียว
ด้วยจุด ประสงค์หลักของ HDMI ที่ถูกพัฒนาขึ้นก็เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายให้กับผู้บริโภค เพื่อให้ได้รับความบันเทิงเต็ม รูปแบบกับระบบภาพและเสียงแบบ High-Definition และระบบเสียงรอบทิศทาง ซึ่งถ้าเป็นเมื่อก่อนที่ยังไม่มีการเชื่อมต่อแบบ HDMI นั้น คุณอาจจะต้องเชื่อมต่อสัญญาณวิดีโอและสัญญาณเสียง อย่างน้อยก็ 2 ช่องทางแล้ว ยิ่งถ้าคุณต่อสัญญาณวิดีโอแบบ Component และใช้ระบบเสียงแบบ 5.1 หรือ 7.1-Channel ด้วยแล้ว จะต้องเชื่อมต่อสายเป็นสิบเส้นให้วุ่นวายไปหมด HDMI จึงช่วยให้ผู้ใช้เชื่อมต่อทุกอย่างได้ภายในสายเส้นเดียว เหมาะสำหรับพวกมีเดียเพลเยอร์ เครื่องเล่นเกมคอนโซล หรืออุปกรณ์ Set top box ต่างๆ ที่ต้องต่อเข้ากับทีวีอย่างยิ่ง
คุณสมบัติของ HDMI แน่นอนว่าการเชื่อมต่อแต่ละชนิดย่อมต้องมีขีดจำกัดที่ถูกกำหนดมาไว้ด้วยกันทั้ง สิ้น ซึ่งนั้นก็คือคุณสมบัติของการเชื่อมต่อนั้นเอง HDMI นี้ก็มีคุณสมบัติเช่นเดียวกับอินเทอร์เฟซอื่นๆ แต่ด้วยความที่มันได้รับการออกแบบมาเพื่อรองรับ กับมัลติมีเดียระดับ High-Definition อยู่แล้ว มันจึงมีความสามารถในการส่งผ่านข้อมูลทั้งภาพวิดีโอและเสียงที่คุณภาพระดับ High-Definition ได้อย่างสบาย โดยที่ไม่จำเป็นต้องมีการบีบอัดข้อมูลเลยการส่งสัญญาณภาพ สำหรับการส่งภาพวิดีโอนั้นเนื่องจากแหล่งที่มาของข้อมูลภาพนั้นมีอยู่ ด้วยกันหลายแบบ ดังนั้นมันจึงจะถูกแปลงให้อยู่ในรูปแบบของ MPEG เสียก่อน เพื่อใช้สำหรับส่งข้อมูลไปตามสาย ซึ่งการส่งข้อมูลภาพวิดีโอแบบ MPEG ผ่าน HDMI นี้จะไม่มีการบีบอัดข้อมูลเลย ทำให้การสูญเสียคุณภาพนั้นไม่เกิดขึ้น ซึ่งเป็นข้อดีอย่างหนึ่งของ HDMI นั่นเอง รูปแบบการส่งข้อมูลนั้นจะเป็นแบบ TMDS ซึ่งเป็นรูปแบบการส่งข้อมูลแบบอนุกรมแบบเดียวกับที่ใช้บนการเชื่อมต่อแบบ DVI นั่นแหละครับ
HDMI ก็จะมีการส่งสัญญาณวิดีโอที่คล้ายกับการเชื่อมต่อแบบ DVI ที่เราใช้งานกันอยู่เช่นกัน
ขีดความสามารถในการส่งผ่านภาพวิดีโอของ HDMI นั้นจะขึ้นอยู่กับเวอร์ชันของมาตรฐานด้วยเช่นกัน เนื่องจาก HDMI เป็นมาตรฐานที่มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง จึงมีเวอร์ชันที่ต่างกันอยู่พอสมควร แต่ทั้งนี้ทุกๆ เวอร์ชันก็ยังคงใช้งานสายเคเบิล แบบเดียวกันอยู่ เพียงแต่จะมีความสามารถในการส่งข้อมูลได้แตกต่างกันไป ตามเวอร์ชัน อย่างเช่นในเวอร์ชัน 1.0 ซึ่งเป็น เวอร์ชันแรก จะมีความเร็วในการส่งสัญญาณข้อมูลภาพอยู่ที่ 165 Mhz ซึ่งจะสามารถรองรับสัญญาณภาพแบบ High-Definition ที่ความละเอียดสูงถึง 1080p ที่ 60 เฮิรตซ์ ได้ หรือระดับ WUXGA (1920x1080) ซึ่งนั่นคือระดับความละเอียดสูงสุด แต่ถ้าต้องการความละเอียดที่สูงมากกว่านี้ก็จะต้องใช้อุปกรณ์ที่รองรับ มาตรฐาน HDMI ที่มีเวอร์ชันสูงขึ้นอย่างเช่น 1.3 ซึ่งเป็นเวอร์ชันที่มีความเร็วในการส่งข้อมูลที่ 340 เมกะเฮิรตซ์ และมีสามารถส่ง สัญญาณภาพที่ความละเอียดระดับ WQXGA (2560x1600) ได้
การส่งสัญญาณเสียง สำหรับ การส่งสัญญาญเสียงนั้น HDMI ก็จะมีการส่งข้อมูลไปแบบไม่มีการบีบอัดเช่นเดียวกัน โดยจะเป็นข้อมูลเสียง ระดับ 192 กิโลเฮิรตซ์ และมีการ Sample แบบ 24 บิต ซึ่งเป็นระดับเสียงเดียวกับที่ใช้ในระบบเดียว Dolby Digital หรือ DTS นั่นเอง นอกจากนี้ HDMI ยังรองรับระบบเสียงแบบ 8 Channel และรองรับ One Bit Audio ซึ่งเป็นรูปแบบที่ใช้ใน Super Audio CD ด้วย แต่จะมีอัตราการส่งข้อมูลที่สูงขึ้นและมากกว่า Super Audio CD ถึง 4 เท่าด้วยกัน และยิ่งในเวอร์ชัน 1.3 ยิ่งมีการพัฒนาให้รองรับระบบเสียงที่มีคุณภาพเทียบเท่าDolby TrueHD และ DTS-HD Master Audio ด้วย
CUDA
CUDA ในความเป็นจริงแล้ว มันมาจากคำว่าที่ว่า "Compute Unified Device Architecture" ซึ่งเป็นการรวบรวม หรือการแบ่ง กระจายการทำงาน การประมวลผลออกมา ตามความสามารถที่มีอยู่ใน GPU ( Graphic Processing Units ) หรือ ที่เราเห็นกันตามจำนวนของ Unified Shaders นั่นเองครับ ซึ่งในสมัยก่อนนั้น การทำงานในส่วนนี้ เป็นส่วนที่เราเรียกกันว่า ท่อ หรือ Streaming Processors นั่นล่ะครับ ซึ่งความสามารถในการประมวลผลจะมีมากเท่าใด ขึ้นอยู่กับจำนวนของ Unified Shader ที่มีมากเท่านั้นด้วย เราจะเห็นได้ว่า พักหลังมานี้ กราฟฟิกชิพแต่ล่ะตัว พยายามที่จะเพิ่มเอาจำนวนของ Unified Shader ใส่เข้ามาไว้ เป็นปัจจัยหลักของกราฟฟิกการ์ดทั้งหลาย และ NVIDIA เองก็เช่นกันครับ เขาได้ทำการเปลี่ยนจาก Pipeline มาเป็น Streaming Processor และล่าสุดอย่าง Unified Shaders นั่นเอง ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว NVIDIA ได้ยกเอาเทคโนโลยีนี้ ใส่เข้ามาไว้ในตัว GPU ตั้งแต่กราฟฟิกชิพในรุ่น G80 เป็นต้นมา และนั่นก็หมายความว่า เทคโนโลยีที่ชื่อว่า CUDA นี้ ได้มีการใช้กันมาตั้งแต่ในช่วงปลาย ปี คศ. 2006 แล้ว แต่ก็ไม่ได้บ่งบอกเอาไว้อย่างชัดเจนซักเท่าไหร่จากทาง NVIDIA เอง จนมาถึงยุคของ GPU รหัสของ G92 และในปัจจุบันอย่าง G200 นั้น เทคโนโลยีที่มีชื่อว่า CUDA ก็ยังคงมีอยู่ เป็นปัจจัยหลักอีกหนึ่งอย่าง เพื่อประสิทธิภาพการทำงานที่แท้ จริงของกราฟฟิกการ์ด เพราะจำนวนของ Unified Shader นั้น เปรียบเสมือนกับจำนวนของ Thread เช่นเดียวกันกับ CPU ที่มี จำนวนของ Thread มากเท่าไหร่ การทำงาน และการประมวลผลด้านกราฟฟิก ก็จะทำได้ดี มากเช่นนั้น
ถึงอย่างไรก็ ตาม เทคโนโลยี CUDA เป็นเพียงการจำลอง Thread จากพื้นฐานคำสั่งของภาษา C เท่านั้น ไม่ใช่การที่มี Thread ของ GPU จริงๆเฉกเช่น CPU ที่มีจำนวนของ Thread จริงๆ ดังนั้นการทำงาน และการประมวลผลของ GPU จะไม่ สามารถมีประสิทธิภาพเทียบเท่ากับ CPU ที่มีหลายๆ Thread ได้จริง ขอให้เข้าใจตรงนี้ด้วย และอีกหนึ่งความสามารถของตัว CUDA Technology ก็คือ มันมีสมองชั่วคราว เพื่อช่วยในการจดจำข้อมูลที่ถูกคำนวณอยู่บ่อยๆเอาไว้ โดยไม่ต้องอาศัยการทำความ รู้จักกันใหม่ เพื่อความรวดเร็วในการประมวลผลผ่าน GPU โดยตรง ซึ่งไม่จำเป็นจะต้องใช้ Memory ในการจดจำเป็นหลัก เหมือนในสมัยก่อนอีกต่อไป จึงทำให้ภาระของตัว Memory ลดลงไปด้วย เพื่อการใช้งานในส่วนอื่นๆที่สำคัญกว่าของ Memory นั่นเอง
เครดิตข้อมูล www.overclockzone.com
CUDA ย่อมาจาก Compute Unified Device Architecture ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมการประมวลผล ที่พัฒนาโดยค่ายการ์ดจอสีเขียวนาม NVIDIA ที่เรารู้จักกันดี โดยเป็นการเปิดโอกาสให้ GPU (Graphics Processing Unit) ของตน ที่วันๆ เอาแต่ประมวลผลกราฟิก เรียกเฟรมเรตออกมาทำงานเป็นเกมให้เราเล่นกัน มีความสามารถในการประมวลด้านต่างๆ มากขึ้น เรียกได้ว่าจะทำให้การ์ดจอเป็นได้มากกว่าการ์ดจอนั่นเอง เทคนิคแบบนี้ก็เรียกกันมานานแล้วว่าเป็น GPGPU (General-purpose computing on graphics processing units) ดังนั้นคงไม่แปลกว่าอีกค่ายเค้าก็มีเหมือนกัน แต่คนละชื่อ ไส้ในคนละอย่าง
การ์ดจอที่ใช้งาน CUDA ได้
http://www.nvidia.com/object/cuda_gpus.htmlจะทราบได้เช่นไรว่าการ์ดจะมี CUDA Core มากน้อยขนาดไหน
ทราบได้โดยใช้ซอฟแวร์ GPU Z ส่องดู โหลด --->>>
GPU-Z.0.4.6 
