ผู้เขียน หัวข้อ: พุทธวจนสวัสดี  (อ่าน 12690 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ สายฝน

  • ตัวแทนจำหน่าย
  • ระดับ 4
  • **
  • กระทู้: 333
  • 440842cc (X-MEN)
พุทธวจนสวัสดี
« เมื่อ: วันที่ 23 พฤษภาคม 2013, 07:53:11 น. »
พุทธวจนสวัสดี

ออฟไลน์ หนุ่มเมืองนคร (ไทย)

  • คณะก่อการ
  • ขี้โม้ระดับสุดยอด
  • ***
  • กระทู้: 9601
  • HL4C9D39B0(X-men)
Re: พุทธวจนสวัสดี
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: วันที่ 23 พฤษภาคม 2013, 08:42:16 น. »
ตาลายเลยน้อง..กลับมาอ่านหัวกระทู้อีกที เป็น พุธ-จน-สวัสดี ซะงั้น เอิ๊กส์..

ออฟไลน์ สายฝน

  • ตัวแทนจำหน่าย
  • ระดับ 4
  • **
  • กระทู้: 333
  • 440842cc (X-MEN)
Re: พุทธวจนสวัสดี
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: วันที่ 23 พฤษภาคม 2013, 08:43:53 น. »
การตอบแทนคุณมารดาบิดาอย่างสูงสุด
ภิกษุทั้งหลาย ! เรากล่าวการกระทำตอบแทน
ไม่ได้ง่ายแก่ท่านทั้งสอง. ท่านทั้งสอง คือใคร ?
คือ มารดา ๑ บิดา ๑
ภิกษุทั้งหลาย ! บุตรพึงประคับประคองมารดา
ด้วยบ่าข้างหนึ่ง พึงประคับประคองบิดาด้วยบ่าข้างหนึ่ง
เขามีอายุ มีชีวิตอยู่ตลอดร้อยปี และเขาพึงปฏิบัติท่านทั้งสอง
นั้นด้วยการอบกลิ่น การนวด การให้อาบนำ้ และการดัด
และท่านทั้งสองนั้น พึงถ่ายอุจจาระปัสสาวะบนบ่าทั้งสอง
ของเขานั่นแหละ. ภิกษุทั้งหลาย ! การกระทำอย่างนั้น
ยังไม่ชื่อว่าอันบุตรทำแล้ว หรือทำตอบแทนแล้ว
แก่มารดาบิดาเลย.
ภิกษุทั้งหลาย ! อนึ่ง บุตรพึงสถาปนามารดา
บิดาในราชสมบัติ อันเป็นอิสราธิปัตย์ ในแผ่นดินใหญ่
อันมีรตนะ ๗ ประการมากหลายนี้ การกระทำอย่างนั้น
ยังไม่ชื่อว่าอันบุตรทำแล้ว หรือทำตอบแทนแล้ว
แก่มารดาบิดาเลย ข้อนั้นเพราะเหตุไร ?
18 พุ ท ธ ว จ น
เพราะมารดาบิดามีอุปการะมาก บำรุงเลี้ยง
แสดงโลกนี้แก่บุตรทั้งหลาย
ส่วนบุตรคนใดยังมารดาบิดาผู้ไม่มีศรัทธา
ให้สมาทานตั้งมั่นในสัทธาสัมปทา (ความถึงพร้อมด้วย
ศรัทธา)
ยังมารดาบิดาผู้ทุศีล ให้สมาทานตั้งมั่นใน
สีลสัมปทา (ความถึงพร้อมด้วยศีล)
ยังมารดาบิดาผู้มีความตระหนี่ ให้สมาทาน
ตั้งมั่นในจาคสัมปทา (ความถึงพร้อมด้วยการบริจาค)
ยังมารดาบิดาทรามปัญญา ให้สมาทานตั้งมั่น
ในปัญญาสัมปทา (ความถึงพร้อมด้วยปัญญา)
ภิกษุทั้งหลาย ! ด้วยเหตุมีประมาณเท่านี้แล
การกระทำอย่างนั้น ย่อมชื่อว่าอันบุตรนั้นทำแล้วและ
ทำตอบแทนแล้วแก่มารดาบิดา.
ทุก. อํ. ๒๐/๗๘/๒๗๘.
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 23 พฤษภาคม 2013, 08:47:31 น. โดย สายฝน »

ออฟไลน์ sriAROON

  • ลงทะเบียน HL
  • ขี้โม้ระดับสุดยอด
  • *
  • กระทู้: 3717
  • อย่าเลื่อยขี้เลื่อย
Re: พุทธวจนสวัสดี
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: วันที่ 23 พฤษภาคม 2013, 10:39:47 น. »
ยากเกินไปไหม ยิ่งใหญ่ลึกล้ำ สูงส่งลึกซึ้งเกินเอื้อมถึงไปไหม
ถ้าจะให้ง่ายเข้า ลองนี่ครับ แค่พูดถึงหนูกับแมว ทอมกับเจอรี่ เด็กๆ
โหลดให้ครบ 27 ตอนที่มีเลขไทยกำกับอยู่ข้างหน้า ๑ ถึง ๒๗ แล้วลองทำตามครับ

http://www.supawangreen.in.th/news_detail.php?id=309
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 23 พฤษภาคม 2013, 12:53:01 น. โดย เสธ.รุณ »

ออฟไลน์ สายฝน

  • ตัวแทนจำหน่าย
  • ระดับ 4
  • **
  • กระทู้: 333
  • 440842cc (X-MEN)
Re: พุทธวจนสวัสดี
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: วันที่ 23 พฤษภาคม 2013, 13:49:59 น. »
ยากเกินไปไหม ยิ่งใหญ่ลึกล้ำ สูงส่งลึกซึ้งเกินเอื้อมถึงไปไหม
ถ้าจะให้ง่ายเข้า ลองนี่ครับ แค่พูดถึงหนูกับแมว ทอมกับเจอรี่ เด็กๆ
โหลดให้ครบ 27 ตอนที่มีเลขไทยกำกับอยู่ข้างหน้า ๑ ถึง ๒๗ แล้วลองทำตามครับ

http://www.supawangreen.in.th/news_detail.php?id=309

 :thank2:

ทรงบอกวิธีแก้ไขความผิดเพี้ยนในคำ�สอน
๑. (หากมี) ภิกษุในธรรมวินัยนี้กล่าวอย่างนี้ว่า ผู้มีอายุ ! ข้าพเจ้าได้สดับรับมาเฉพาะ
พระพักตร์พระผู้มีพระภาคว่า “นี้เป็นธรรม นี้เป็นวินัย นี้เป็นคำ�สอนของพระศาสดา”...
๒. (หากมี) ภิกษุในธรรมวินัยนี้กล่าวอย่างนี้ว่า ในอาวาสชื่อโน้นมีสงฆ์อยู่พร้อมด้วย
พระเถระ พร้อมด้วยปาโมกข์ ข้าพเจ้าได้สดับมาเฉพาะหน้าสงฆ์นั้นว่า “นี้เป็นธรรม
นี้เป็นวินัย นี้เป็นคำ�สอนของพระศาสดา”...
๓. (หากมี) ภิกษุในธรรมวินัยนี้กล่าวอย่างนี้ว่า ในอาวาสชื่อโน้นมีภิกษุผู้เป็นเถระอยู่
จำ�นวนมาก เป็นพหุสูต เรียนคัมภีร์ ทรงธรรม ทรงวินัย ทรงมาติกา ข้าพเจ้าได้สดับมา
เฉพาะหน้าพระเถระเหล่านั้นว่า “นี้เป็นธรรม นี้เป็นวินัย นี้เป็นคำ�สอนของพระศาสดา”...
๔. (หากมี) ภิกษุในธรรมวินัยนี้กล่าวอย่างนี้ว่า ในอาวาสชื่อโน้นมีภิกษุผู้เป็นเถระอยู่
รูปหนึ่ง เป็นพหุสูต เรียนคัมภีร์ ทรงธรรม ทรงวินัย ทรงมาติกา ข้าพเจ้าได้สดับมา
เฉพาะหน้าพระเถระรูปนั้นว่า “นี้เป็นธรรม นี้เป็นวินัย นี้เป็นคำ�สอนของพระศาสดา”...
    เธอทั้งหลายยังไม่พึงชื่นชม ยังไม่พึงคัดค้านคำ�กล่าวของผู้นั้น พึงเรียนบทและ
พยัญชนะเหล่านั้นให้ดี แล้วพึงสอบสวนลงในพระสูตร เทียบเคียงดูในวินัย
ถ้าบทและพยัญชนะเหล่านั้น สอบลงในสูตรก็ไม่ได้ เทียบเข้าในวินัยก็ไม่ได้
พึงลงสันนิษฐานว่า “นี้มิใช่พระดำ�รัสของพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้นแน่นอน และ
ภิกษุนี้รับมาผิด” เธอทั้งหลาย พึงทิ้งคำ�นั้นเสีย
ถ้าบทและพยัญชนะเหล่านั้น สอบลงในสูตรก็ได้ เทียบเข้าในวินัยก็ได้ พึงลง
สันนิษฐานว่า “นี้เป็นพระดำ�รัส ของพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้นแน่นอน และ
ภิกษุนั้นรับมาด้วยดี” เธอทั้งหลาย พึงจำ�มหาปเทส... นี้ไว้.
มหา. ที. ๑๐/๑๔๔/๑๑๓-๖.

ออฟไลน์ สายฝน

  • ตัวแทนจำหน่าย
  • ระดับ 4
  • **
  • กระทู้: 333
  • 440842cc (X-MEN)
Re: พุทธวจนสวัสดี
« ตอบกลับ #5 เมื่อ: วันที่ 23 พฤษภาคม 2013, 14:15:01 น. »
สารบัญ
มรรค(วิธีที่)ง่าย ๑
คำนำ ๒
การละนันทิ ๗
๑. ภพแม้ชั่วขณะดีดนิ้วมือก็ยังน่ารังเกียจ ๘
๒. ผู้เข้าไปหา เป็นผู้ไม่หลุดพ้น ๙
ผู้ไม่เข้าไปหา ย่อมเป็นผู้หลุดพ้น
๓. จิตมีตัณหา เรียกว่าอยู่สองคน ๑๒
จิตไม่มีตัณหา เรียกว่าอยู่คนเดียว
๔. พรหมจรรย์นี้ อันบุคคลย่อมประพฤติ ๑๖
เพื่อการละขาดซึ่งภพ
๕. สิ้นนันทิ สิ้นราคะ ก็สิ้นทุกข์ ๑๙
๖. ความดับทุกข์มี ๒๑
เพราะความดับไปแห่งความเพลิน (นันทิ)
กายคตาสติ ๒๓
๗. กายคตาสติ เป็นเสาหลักเสาเขื่อนอย่างดีของจิต ๒๔
ลักษณะของผู้ไม่ตั้งจิตในกายคตาสติ ๒๔
ลักษณะของผู้ตั้งจิตในกายคตาสติ ๒๖
๘. กระดองของบรรพชิต ๒๙
๙. ตั้งจิตในกายคตาสติ เสมือนบุรุษผู้ถือหม้อนำ้มัน ๓๒
อานาปานสติ ๓๕
๑๐. อานิสงส์สูงสุดแห่งอานาปานสติ ๒ ประการ ๓๖
๑๑. เจริญอานาปานสติ เป็นเหตุให้
สติปัฏฐาน ๔โพชฌงค์ ๗ วิชชาและวิมุตติบริบูรณ์ ๔๐
อานาปานสติบริบูรณ์ ย่อมทำสติปัฏฐานให้บริบูรณ์ ๔๑
สติปัฏฐานบริบูรณ์ ย่อมทำโพชฌงค์ให้บริบูรณ์ ๔๗
โพชฌงค์บริบูรณ์ ย่อมทำวิชชาและวิมุตติให้บริบูรณ์ ๕๑
ปฏิปทาเปน็ ที่สบายแกก่ ารบรรลุ “นิพพาน” ๕๓
๑๒. ปฏิปทาเป็นที่สบายแก่การบรรลุนิพพาน (นัยที่ ๑) ๕๔
๑๓. ปฏิปทาเป็นที่สบายแก่การบรรลุนิพพาน (นัยที่ ๒) ๕๖
๑๔. ปฏิปทาเป็นที่สบายแก่การบรรลุนิพพาน (นัยที่ ๓) ๕๘
๑๕. ปฏิปทาเป็นที่สบายแก่การบรรลุนิพพาน (นัยที่ ๔) ๖๐
๑๖. กระจายเสีย ซึ่งผัสสะ ๖๓
๑๗. เจริญอริยมรรคมีองค์ ๘ ด้วยวิธีลัด ๖๘
๑๘. เมื่อไม่มีมา ไม่มีไปย่อมไม่มีเกิด และไม่มีดับ ๗๑
สักแต่ว่า... ๗๓
๑๙. สักแต่ว่า... (นัยที่ ๑) ๗๔
๒๐. สักแต่ว่า... (นัยที่ ๒) ๗๕
สติปัฏฐาน ๔ ๗๙
๒๑. มีสติ มีสัมปชัญญะ รอคอยการตาย ๘๐
การละอวิชชาโดยตรง ๘๕
๒๒. ธรรมทั้งปวง ไม่ควรยึดมั่น ๘๖
๒๓. การเห็นซึ่งความไม่เที่ยง ๘๙
ปฏิปทาเพื่อบรรลุมรรคผลของคนเจ็บไข ้ และบุคคลทั่วไป ๙๑
๒๔. ปฏิปทาเพื่อบรรลุมรรคผลของคนเจ็บไข้ ๙๒
๒๕. ปฏิปทาเพื่อบรรลุมรรคผลของบุคคลทั่วไป (นัยที่ ๑) ๙๔
๒๖. ปฏิปทาเพื่อบรรลุมรรคผลของบุคคลทั่วไป (นัยที่ ๒) ๙๖
๒๗. ปฏิปทาเพื่อบรรลุมรรคผลของบุคคลทั่วไป (นัยที่ ๓) ๙๘
๒๘. ปฏิปทาเพื่อบรรลุมรรคผลของบุคคลทั่วไป (นัยที่ ๔) ๑๐๐
สัมมาสังกัปปะ (ความดำริชอบ) ๑๐๕
๒๙. ผู้มีความเพียรตลอดเวลา ๑๐๖
๓๐. ผู้เกียจคร้านตลอดเวลา ๑๐๙
ปฏิปทาของการสิ้นอาสวะ ๔ แบบ ๑๑๓
๓๑. ปฏิปทาของการสิ้นอาสวะ ๔ แบบ ๑๑๔
แบบปฏิบัติลำบาก รู้ได้ช้า ๑๑๕
แบบปฏิบัติลำบาก รู้ได้เร็ว ๑๑๖
แบบปฏิบัติสบาย รู้ได้ช้า ๑๑๗
แบบปฏิบัติสบาย รู้ได้เร็ว ๑๑๘

ออฟไลน์ สายฝน

  • ตัวแทนจำหน่าย
  • ระดับ 4
  • **
  • กระทู้: 333
  • 440842cc (X-MEN)
Re: พุทธวจนสวัสดี
« ตอบกลับ #6 เมื่อ: วันที่ 23 พฤษภาคม 2013, 14:26:48 น. »
คำนำ
ปฏิเสธไม่ได้ว่า ในยุคแห่งเทคโนโลยีข้อมูลข่าวสาร
ที่ผู้คนแข่งกันรู้ให้ได้เร็วที่สุดไว้ก่อนนั้น ได้นำ�พาสังคมไปสู่
วิถีชีวิตที่เสพติดในความง่ายเร็วลัด ของขั้นตอนการเรียนรู้
โดยละทิ้งความถูกต้องตรงจริงในการรู้นั้นไว้เป็นอันดับรอง
ในแวดวงของชาวพุทธยุคใหม่ แม้ในส่วนที่มี
ปัญญาพอเห็นโทษภัยในทุกข์ มีจิตน้อมไปในการภาวนาแล้ว
ก็ยังไม่พ้นที่จะมีการพูดถึงเกี่ยวกับ มรรควิธีที่ง่าย ลัดสั้น
ปัญหามีอยู่… คือ การหมายรู้ ในคำว่า “ง่าย”
โดยในแง่ที่คนส่วนใหญ่เข้าใจนั้น มีความหมาย
ไม่ตรงกับรายละเอียดในมรรควิธีที่ง่าย ซึ่งบัญญัติโดย
พระตถาคต เมื่อนิยามตั้งต้นไม่ตรงกันเสียแล้ว จะต้อง
กล่าวไปไยในรายละเอียดอื่นๆ ที่ตามมา
เมื่อพูดถึงคำว่า “ง่าย” โดยทั่วไป มักจะถูกเข้าใจ
ในลักษณะว่า เป็นอะไรสักอย่างที่ได้มาโดยไม่มีขั้นตอนยาก
ได้มาโดยไม่ต้องลงแรง โดยไม่ต้องใช้ความพยายามมาก
ฉบับ ๔ มรรค วิธีที่ ง่าย 3
ใช้การขวนขวายน้อย ใช้ข้อมูลน้อย ใช้การใคร่ครวญน้อย
ใช้การกระทำน้อย …กระทั่งไม่ต้องทำอะไรเลย
ในขณะที่ปฏิปทา (วิธีการกระทำเพื่อให้ได้มา)
ที่นำไปสู่การบรรลุมรรคผล ซึ่งพระพุทธองค์ได้ทรงอธิบาย
ไว้นั้น ประกอบด้วยหลักการที่วางต่อกันอยู่ ๒ ส่วน คือ
๑. ส่วนของมรรควิธีที่เลือกมาใช้
ซึ่งเป็นตัวกำหนด ระดับความสบายในการปฏิบัติ
๒. ส่วนของเหตุในความเร็วช้าในการบรรลุ
ซึ่งแปรผันตามระดับความอ่อนแก่ของอินทรีย์ห้า
ในส่วนแรก คือ มรรควิธีที่เลือกมาใช้นั้น ทรงแบ่ง
ออกไว้เป็นสองแบบคือ ทุกขาปฏิปทา และ สุขาปฏิปทา
ทุกขาปฏิปทา คือมรรควิธีที่ไม่ได้สุขวิหารในขั้นตอนปฏิบัติ
เพราะเน้นการใช้ทุกข์เป็นเครื่องมือในการรู้แจ้งซึ่งอริยสัจ
ส่วนสุขาปฏิปทา คือการอาศัยสุขเป็นเครื่องมือในการรู้
ผู้ปฏิบัติจึงได้สุขวิหารไปด้วยในระหว่างปฏิบัติเพื่อสิ้นทุกข์
ในส่วนของเหตุที่บรรลุเร็วหรือช้านั้นคืออินทรีย์ห้า
(ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา)
4 พุ ท ธ ว จ น
ผู้มีศรัทธาในตถาคตมาก (อินทรีย์ คือ ศรัทธา)
ก็ย่อมจะเชื่อในพุทธปัญญาญาณ ย่อมจะศึกษา ทรงจำ
สั่งสมสุตะเฉพาะที่เป็นพุทธวจนไว้มาก จึงรู้แง่มุมของจิต
และวิธีการปฏิบัติที่ถูกต้องไว้มาก
บุคคลผู้มีปัญญาเห็นได้เร็ว (อินทรีย์ คือ ปัญญา)
เลือกหนทางที่สะดวก ก็ย่อมจะไปถึงจุดหมายได้เร็วกว่า
แม้รู้หนทางที่ถูกแล้ว แต่เพียรน้อย (อินทรีย์ คือ วิริยะ)
มิได้ปฏิบัติธรรมให้สมควรแก่ธรรม ฝึกสติน้อย ทิ้งสมาธิ
เหินห่างจากฌาน ก็ย่อมถึงที่หมายได้ช้า…ดังนี้ เป็นต้น
อีกทั้ง แง่มุมที่ควรให้ความสำคัญว่าเป็นมรรควิธี
ที่ง่ายคือ สิ่งที่พระตถาคตทรงแสดงสอนบ่อยๆ, บอก
ตรงๆ ว่าเป็นวิธีที่สะดวกต่อการเข้ามรรคผล, ทรงใช้บอก
สอนกับคนชราคนเจ็บป่วย ใกล้ตาย มีกำ�ลังน้อย มีเวลา
ในชีวิตเหลือน้อย คือ มรรควิธีที่ตรัสบอกถึงอานิสงส์ไว้
มากกว่ามรรควิธีอื่นๆ
ดังนั้น มรรควิธีที่ง่าย จึงไม่ใช่ว่า ง่าย ในแบบที่
เข้าใจกันว่าใช้ความพยายามน้อย ใช้การกระทำ�น้อย
ขวนขวายน้อยแต่ง่าย ตามเหตุปัจจัยอันสมควรแก่กรณีนั้นๆ
ฉบับ ๔ มรรค วิธีที่ ง่าย 5
ภายใต้ขีดจำกัดของสาวก ซึ่งพระพุทธองค์
ทรงยืนยันว่า แม้อรหันต์ผู้ปัญญาวิมุตติ ต่างก็เป็นได้เพียง
แค่มัคคานุคา (ผู้เดินตามมรรคมาทีหลัง) จึงไม่แปลกที่เรา
จะได้รู้ได้ฟังการอธิบายแจงแจกมรรควิธีที่ง่าย ตามแบบของ
สาวกในรูปแบบต่างๆ กันไป ซึ่งตรงกันบ้าง ไม่ตรงกันบ้าง
และไม่สามารถนำมาใช้อ้างอิงเป็นหลักมาตรฐานได้
หากเปรียบการบรรลุมรรคผล คือการถึงจุดหมาย
หนังสือเล่มนี้ คือ แผนที่ ซึ่งเขียนโดยมัคคโกวิโท (ผู้ฉลาดใน
มรรค คือพระตถาคต) และชาวพุทธต้องหันกลับมาใช้แผนที่
ฉบับถูกต้องนี้ เป็นมาตรฐานเดียวเหมือนครั้งพุทธกาล
คณะผ้จู ัดพิมพ์หนังสือเล่มนี้ ขอนอบน้อมสักการะ
ต่อ ตถาคต ผ้อู รหันตสัมมาสัมพุทธะ
และ ภิกษุสาวกในธรรมวินัยนี้
ตั้งแต่ครั้งพุทธกาล จนถึงยุคปัจจุบัน
ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการสืบทอดพุทธวจน
คือ ธรรม และวินัย ที่ทรงประกาศไว้ บริสุทธิ์บริบูรณ์ดีแล้ว
คณะศิษย์พระตถาคต
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 23 พฤษภาคม 2013, 14:28:49 น. โดย สายฝน »

ออฟไลน์ สายฝน

  • ตัวแทนจำหน่าย
  • ระดับ 4
  • **
  • กระทู้: 333
  • 440842cc (X-MEN)
Re: พุทธวจนสวัสดี
« ตอบกลับ #7 เมื่อ: วันที่ 23 พฤษภาคม 2013, 15:02:11 น. »
8 พุ ท ธ ว จ น

ภพแม้ชั่วขณะดีดนิ้วมือก็ยังน่ารังเกียจ
ภิกษุทั้งหลาย !
คูถ แม้นิดเดียว
ก็เป็นของมีกลิ่นเหม็น ฉันใด,
ภิกษุทั้งหลาย !
สิ่งที่เรียกว่า ภพ (ผลแห่งภวตัณหา)
ก็ฉันนั้นเหมือนกัน,
แม้มีประมาณน้อย ชั่วลัดนิ้วมือเดียว
ก็ไม่มีคุณอะไรที่พอจะกล่าวได้.
เอก. อํ. ๒๐/๔๖/๒๐๓.
(ในสูตรถัดไป ได้ตรัสอุปมาด้วยมูตร ด้วยน้ำ

ออฟไลน์ สายฝน

  • ตัวแทนจำหน่าย
  • ระดับ 4
  • **
  • กระทู้: 333
  • 440842cc (X-MEN)
Re: พุทธวจนสวัสดี
« ตอบกลับ #8 เมื่อ: วันที่ 23 พฤษภาคม 2013, 15:04:25 น. »
ฉบับ ๔ มรรค วิธีที่ ง่าย 9

ผู้เข้าไปหา เป็นผู้ไม่หลุดพ้น
ผู้ไม่เข้าไปหา ย่อมเป็นผู้หลุดพ้น

ภิกษุทั้งหลาย ! ผู้เข้าไปหา เป็นผู้ไม่หลุดพ้น;
ผู้ไม่เข้าไปหา เป็นผู้หลุดพ้น.
ภิกษุทั้งหลาย ! วิญญาณ ซึ่ง เข้า ถือเอารูป ตั้งอยู่
ก็ตั้งอยู่ได้, เป็นวิญญาณที่มีรูปเป็นอารมณ์ มีรูปเป็น
ที่ตั้งอาศัย มีนันทิ (ความเพลิน) เป็นที่เข้าไปส้องเสพ
ก็ถึงความเจริญ งอกงาม ไพบูลย์ ได้;
ภิกษุทั้งหลาย ! วิญญาณ ซึ่ง เข้า ถือเอาเวทนา
ตั้งอยู่ ก็ตั้งอยู่ได้, เป็นวิญญาณที่มีเวทนาเป็นอารมณ์
มีเวทนาเป็นที่ตั้งอาศัย มีนันทิ เป็นที่เข้าไปส้องเสพ
ก็ถึงความเจริญ งอกงาม ไพบูลย์ ได้;
ภิกษุทั้งหลาย ! วิญญาณ ซึ่ง เข้า ถือเอาสัญญา
ตั้งอยู่ ก็ตั้งอยู่ได้, เป็นวิญญาณที่มีสัญญาเป็นอารมณ์
มีสัญญาเป็นที่ตั้งอาศัย มีนันทิ เป็นที่เข้าไปส้องเสพ
ก็ถึงความเจริญ งอกงาม ไพบูลย์ ได้;

10 พุ ท ธ ว จ น
ภิกษุทั้งหลาย ! วิญญาณ ซึ่ง เข้า ถือเอาสังขาร
ตั้งอยู่ ก็ตั้งอยู่ได้, เป็นวิญญาณที่มีสังขารเป็นอารมณ์
มีสังขารเป็นที่ตั้งอาศัย มีนันทิเป็นที่เข้าไปส้องเสพ
ก็ถึงความเจริญ งอกงาม ไพบูลย์ ได้.
ภิกษุทั้งหลาย ! ผู้ใดจะพึงกล่าวอย่างนี้ว่า
“เราจักบัญญัติ ซึ่งการมา การไป การจุติ การอุบัติ
ความเจริญ ความงอกงาม และความไพบูลย์ของวิญญาณ
โดยเว้นจากรูป เว้นจากเวทนา เว้นจากสัญญา และ
เว้นสังขาร” ดังนี้นั้น, นี่ ไม่ใช่ฐานะที่จักมีได้เลย.
ภิกษุทั้งหลาย ! ถ้าราคะในรูปธาตุ ในเวทนาธาตุ
ในสัญญาธาตุ ในสังขารธาตุ ในวิญญาณธาตุ เป็นสิ่งที่
ภิกษุละได้แล้ว;
เพราะละราคะได้ อารมณ์สำหรับวิญญาณ
ก็ขาดลง ที่ตั้งของวิญญาณก็ไม่มี.
วิญญาณอันไม่มีที่ตั้งนั้นก็ไม่งอกงาม หลุดพ้นไป
เพราะไม่ถูกปรุงแต่ง;

ฉบับ ๔ มรรค วิธีที่ ง่าย 11
เพราะหลุดพ้นไปก็ตั้งมั่น เพราะตั้งมั่นก็ยินดีใน
ตนเอง; เพราะยินดีในตนเองก็ไม่หวั่นไหว; เมื่อไม่หวั่นไหว
ก็ปรินิพพานเฉพาะตน;
ย่อมรู้ชัดว่า “ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว
กิจที่ควรทำได้ทำสำเร็จแล้ว กิจอื่นที่จะต้องทำเพื่อ
ความเป็นอย่างนี้ มิได้มีอีก” ดังนี้.
ขนฺธ. สํ. ๑๗/๖๖/๑๐๕.
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 23 พฤษภาคม 2013, 15:16:50 น. โดย สายฝน »

ออฟไลน์ สายฝน

  • ตัวแทนจำหน่าย
  • ระดับ 4
  • **
  • กระทู้: 333
  • 440842cc (X-MEN)
Re: พุทธวจนสวัสดี
« ตอบกลับ #9 เมื่อ: วันที่ 23 พฤษภาคม 2013, 15:11:46 น. »
12 พุ ท ธ ว จ น

จิตมีตัณหา เรียกว่าอยู่สองคน
จิตไม่มีตัณหา เรียกว่าอยู่คนเดียว

“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! ด้วยเหตุเพียงเท่าไรหนอ ภิกษุ
จึงชื่อว่า เป็นผู้มีการอยู่อย่างมีเพื่อนสอง พระเจ้าข้า ?”.
มิคชาละ ! รูป ทั้งหลายอันจะพึงเห็นได้ด้วยจักษุ
อันเป็นรูปที่น่าปรารถนา น่ารักใคร่ น่าพอใจ มีลักษณะ
น่ารัก เป็นที่เข้าไปตั้งอาศัยอยู่แห่งความใคร่ เป็นที่ตั้งแห่ง
ความกำหนัดย้อมใจมีอยู่. ถ้าหากว่าภิกษุย่อมเพลิดเพลิน
พร่ำสรรเสริญ สยบมัวเมา ซึ่งรูปนั้นไซร้;
แก่ภิกษุผู้เพลิดเพลิน พรำ่สรรเสริญ สยบ มัวเมา
ซึ่งรูปนั้นอยู่ นั่นแหละ, นันทิ (ความเพลิน) ย่อมเกิดขึ้น.
เมื่อ นันทิ มีอยู่, สาราคะ (ความพอใจอย่างยิ่ง)
ย่อมมี;
เมื่อ สาราคะ มีอยู่, สัญโญคะ (ความผูกจิตติดกับ
อารมณ์) ย่อมมี :

ฉบับ ๔ มรรค วิธีที่ ง่าย 13
มิคชาละ ! ภิกษุผู้ประกอบพร้อมแล้ว ด้วยการ
ผูกจิตติดกับอารมณ์ด้วยอำนาจแห่งความเพลิน นั่นแล
เราเรียกว่า “ผู้มีการอยู่อย่างมีเพื่อนสอง”.
(ในกรณีแห่งเสียงทั้งหลายอันจะพึงได้ยินด้วยหูก็ดี,
กลิ่นทั้งหลายอันจะพึงดมด้วยจมูกก็ดี, รสทั้งหลายอันจะพึงลิ้ม
ด้วยลิ้นก็ดี, โผฏฐัพพะทั้งหลายอันจะพึงสัมผัสด้วยผิวกายก็ดี, และ
ธรรมารมณ์ทั้งหลายอันจะพึงรู้แจ้งด้วยใจก็ดี, พระผู้มีพระภาคเจ้า
ได้ตรัสไว้มีนัยยะอย่างเดียวกันกับในกรณีแห่งรูปทั้งหลายอันจะพึง
เห็นด้วยจักษุ).
มิคชาละ ! ภิกษุผู้มีการอยู่ด้วยอาการอย่างนี้
แม้จะส้องเสพเสนาสนะอันเป็นป่าและป่าชัฏ ซึ่งเงียบสงัด
มีเสียงรบกวนน้อย มีเสียงกึกก้องครึกโครมน้อย ปราศจาก
ลมจากผิวกายคน เป็นที่ทำการลับของมนุษย์ เป็นที่สมควร
แก่การหลีกเร้น เช่นนี้แล้ว ก็ตาม, ถึงกระนั้น ภิกษุนั้น
เราก็ยังคงเรียกว่า ผู้มีการอยู่อย่างมีเพื่อนสองอยู่นั่นเอง.
ข้อนั้นเพราะเหตุไรเล่า ?
ข้อนั้นเพราะเหตุว่า ตัณหานั่นแล เป็นเพื่อนสอง
ของภิกษุนั้น; ตัณหานั้น อันภิกษุนั้น ยังละไม่ได้แล้ว

14 พุ ท ธ ว จ น
เพราะเหตุนั้น ภิกษุนั้น เราจึงเรียกว่า “ผู้มีการอยู่อย่าง
มีเพื่อนสอง” ดังนี้.
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! ด้วยเหตุเพียงเท่าไรหนอแล
ภิกษุจึงชื่อว่า เป็นผู้มีการอยู่อย่างอยู่ผู้เดียว พระเจ้าข้า ?”.
มิคชาละ ! รูป ทั้งหลายอันจะพึงเห็นได้ด้วยจักษุ
เป็นรูปที่น่าปรารถนา น่ารักใคร่ น่าพอใจ มีลักษณะน่ารัก
เป็นที่เข้าไปตั้งอาศัยอยู่แห่งความใคร่ เป็นที่ตั้งแห่งความ
กำหนัดย้อมใจ มีอยู่, ถ้าหากว่าภิกษุย่อมไม่เพลิดเพลิน
ไม่พร่ำสรรเสริญ ไม่สยบ มัวเมา ซึ่งรูปนั้นไซร้,
แก่ภิกษุผู้ไม่เพลิดเพลิน ไม่พรำ่สรรเสริญ ไม่สยบ
มัวเมา ซึ่งรูปนั้น นั่นแหละ, นันทิ (ความเพลิน) ย่อมดับ;
เมื่อ นันทิ ไม่มีอยู่, สาราคะ (ความพอใจอย่างยิ่ง)
ย่อมไม่มี;
เมื่อ สาราคะ ไม่มีอยู่, สัญโญคะ (ความผูกจิต
ติดกับอารมณ์) ย่อมไม่มี :
มิคชาละ ! ภิกษุผู้ ไม่ประกอบพร้อมแล้ว ด้วย
การผูกจิตติดกับอารมณ์ด้วยอำนาจแห่งความเพลิน
(นันทิ) นั่นแล เราเรียกว่า “ผู้มีการอยู่อย่างอยู่ผู้เดียว”.

ฉบับ ๔ มรรค วิธีที่ ง่าย 15
(ในกรณีแห่งเสียงทั้งหลายอันจะพึงได้ยินด้วยหูก็ดี,
กลิ่นทั้งหลายอันจะพึงดมด้วยจมูกก็ดี, รสทั้งหลายอันจะพึงลิ้ม
ด้วยลิ้นก็ดี, โผฏฐัพพะทั้งหลายอันจะพึงสัมผัสด้วยผิวกายก็ดี,
และธรรมารมณ์ทั้งหลายอันจะพึงรู้แจ้งด้วยใจก็ดี, พระผู้มี
พระภาคเจ้าได้ตรัสไว้มีนัยยะอย่างเดียวกันกับในกรณีแห่งรูป
ทั้งหลายอันจะพึงเห็นด้วยจักษุ).
มิคชาละ ! ภิกษุผู้มีการอยู่ด้วยอาการอย่างนี้ แม้
อยู่ในหมู่บ้าน อันเกลื่อนกล่นไปด้วยภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก
อุบาสิกาทั้งหลาย, ด้วยพระราชา มหาอำมาตย์ของพระ
ราชาทั้งหลาย, ด้วยเดียรถีย์ สาวกของเดียรถีย์ทั้งหลาย
ก็ตาม; ถึงกระนั้น ภิกษุนั้น เราก็เรียกว่า ผู้มีการอยู่อย่าง
อยู่ผู้เดียวโดยแท้.
ข้อนั้นเพราะเหตุไรเล่า ?
ข้อนั้นเพราะเหตุว่าตัณหานั่นแล เป็นเพื่อนสอง
ของภิกษุนั้น; ตัณหานั้น อันภิกษุนั้น ละเสียได้แล้ว
เพราะเหตุนั้น ภิกษุนั้น เราจึงเรียกว่า “ผู้มีการอยู่อย่าง
อยู่ผู้เดียว”, ดังนี้ แล.
สฬา. สํ. ๑๘/๔๓–๔๔/๖๖-๖๗.
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 23 พฤษภาคม 2013, 15:16:12 น. โดย สายฝน »

ออฟไลน์ สายฝน

  • ตัวแทนจำหน่าย
  • ระดับ 4
  • **
  • กระทู้: 333
  • 440842cc (X-MEN)
Re: พุทธวจนสวัสดี
« ตอบกลับ #10 เมื่อ: วันที่ 23 พฤษภาคม 2013, 15:15:28 น. »
16 พุ ท ธ ว จ น

พรหมจรรย์นี้ อันบุคคลย่อมประพฤติ
เพื่อการละขาดซึ่งภพ

สัตว์โลกนี้ เกิดความเดือดร้อนแล้ว มีผัสสะ
บังหน้า ย่อมกล่าวซึ่งโรค (ความเสียดแทง) นั้น โดยความ
เป็นตัวเป็นตน.
เขาสำคัญสิ่งใด โดยความเป็นประการใด แต่สิ่งนั้น
ย่อมเป็น (ตามที่เป็นจริง) โดยประการอื่นจากที่เขาสำ�คัญนั้น.
สัตว์โลกติดข้องอยู่ในภพ ถูกภพบังหน้าแล้ว มีภพ
โดยความเป็นอย่างอื่น (จากที่มันเป็นอยู่จริง) จึงได้
เพลิดเพลินยิ่งนักในภพนั้น.
เขาเพลิดเพลินยิ่งนักในสิ่งใด สิ่งนั้นเป็นภัย
(ที่เขาไม่รู้จัก) : เขากลัวต่อสิ่งใด สิ่งนั้นก็เป็นทุกข์.
พรหมจรรย์นี้ อันบุคคลย่อมประพฤติ ก็เพื่อการ
ละขาดซึ่งภพ.

ฉบับ ๔ มรรค วิธีที่ ง่าย 17
สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใด กล่าวความ
หลุดพ้นจากภพว่า มีได้เพราะภพ; เรากล่าวว่า สมณะ
หรือพราหมณ์ทั้งปวงนั้น มิใช่ผู้หลุดพ้นจากภพ.
ถึงแม้สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใด กล่าวความออก
ไปได้จากภพว่า มีได้เพราะวิภพ (ไม่มีภพ) : เรากล่าวว่า
สมณะหรือพราหมณ์ทั้งปวงนั้น ก็ยังสลัดภพออกไปไม่ได้.
ก็ทุกข์นี้มีขึ้น
เพราะอาศัยซึ่งอุปธิทั้งปวง.
เพราะความสิ้นไปแห่งอุปาทานทั้งปวง
ความเกิดขึ้นแห่งทุกข์จึงไม่มี.
ท่านจงดูโลกนี้เถิด (จะเห็นว่า) สัตว์ทั้งหลายอัน
อวิชชา (ความไม่รู้) หนาแน่นบังหน้าแล้ว; และว่าสัตว์
ผู้ยินดีในภพอันเป็นแล้วนั้น ย่อมไม่เป็นผู้หลุดพ้นไป
จากภพได้ ก็ภพทั้งหลายเหล่าหนึ่งเหล่าใด อันเป็นไปใน
ที่หรือในเวลาทั้งปวง เพื่อความมีแห่งประโยชน์โดย
ประการทั้งปวง; ภพทั้งหลายทั้งหมดนั้น ไม่เที่ยง เป็นทุกข์
มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา.

18 พุ ท ธ ว จ น
เมื่อบุคคลเห็นอยู่ซึ่งข้อนั้น ด้วยปัญญาอันชอบ
ตามที่เป็นจริงอย่างนี้อยู่; เขาย่อมละภวตัณหา (ความอยากมี
อยากเป็น) ได้ และไม่เพลิดเพลินวิภวตัณหา (ความไม่อยาก)
ด้วย.
ความดับเพราะความสำรอกไม่เหลือ (แห่งภพ
ทั้งหลาย) เพราะความสิ้นไปแห่งตัณหาโดยประการทั้งปวง
นั้นคือนิพพาน.
ภพใหม่ย่อมไม่มีแก่ภิกษุนั้น ผู้ดับเย็นสนิทแล้ว
เพราะไม่มีความยึดมั่น.
ภิกษุนั้น เป็นผู้ครอบงำมารได้แล้ว ชนะสงคราม
แล้ว ก้าวล่วงภพทั้งหลายทั้งปวงได้แล้ว เป็นผู้คงที่
(คือไม่เปลี่ยนแปลงอีกต่อไป), ดังนี้ แล.
อุ. ขุ. ๒๕/๑๒๑-๑๒๓/๘๔.

ออฟไลน์ สายฝน

  • ตัวแทนจำหน่าย
  • ระดับ 4
  • **
  • กระทู้: 333
  • 440842cc (X-MEN)
Re: พุทธวจนสวัสดี
« ตอบกลับ #11 เมื่อ: วันที่ 23 พฤษภาคม 2013, 15:19:49 น. »
ฉบับ ๔ มรรค วิธีที่ ง่าย 19

สิ้นนันทิ สิ้นราคะ ก็สิ้นทุกข์

ภิกษุทั้งหลาย ! ภิกษุเห็นจักษุอันไม่เที่ยงนั่นแล
ว่าไม่เที่ยง ความเห็นเช่นนั้น เป็น สัมมาทิฏฐิ (การเห็นอยู่
โดยถูกต้อง) ของเธอนั้น.
เมื่อเห็นอยู่โดยถูกต้อง ย่อมเบื่อหน่าย
(สมฺมา ปสฺสํ นิพฺพินฺทติ);
เพราะความสิ้นไปแห่งนันทิ
จึงมีความสิ้นไปแห่งราคะ
(นนฺทิกฺขยา ราคกฺขโย);
เพราะความสิ้นไปแห่งราคะ
จึงมีความสิ้นไปแห่งนันทิ
(ราคกฺขยา นนฺทิกฺขโย);
เพราะความสิ้นไปแห่งนันทิและราคะ
กล่าวได้ว่า “จิตหลุดพ้นแล้วด้วยดี” ดังนี้.
(นนฺทิราคกฺขยา จิตฺตํ สุวิมุตฺตนฺติ วุจฺจติ).

20 พุ ท ธ ว จ น
(ในกรณีแห่งอายตนะภายในที่เหลืออีก ๕ คือ โสตะ ฆานะ ชิวหา
กายะ มโน และในกรณีแห่งอายตนะภายนอก ๖ คือ รูป เสียง กลิ่น รส
โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ ก็ตรัสอย่างเดียวกันกับในกรณีแห่งจักษุทุกประการ).
สฬา. สํ. ๑๘/๑๗๙/๒๔๕-๖.

ออฟไลน์ สายฝน

  • ตัวแทนจำหน่าย
  • ระดับ 4
  • **
  • กระทู้: 333
  • 440842cc (X-MEN)
Re: พุทธวจนสวัสดี
« ตอบกลับ #12 เมื่อ: วันที่ 23 พฤษภาคม 2013, 15:21:23 น. »
ฉบับ ๔ มรรค วิธีที่ ง่าย 21

ความดับทุกข์มี เพราะความดับไป
แห่งความเพลิน (นันทิ)

ปุณณะ ! รูป ที่เห็นด้วย ตา ก็ดี, เสียง ที่ฟังด้วย หู
ก็ดี, กลิ่น ที่ดมด้วย จมูก ก็ดี, รส ที่ลิ้ม ด้วย ลิ้น ก็ดี,
โผฏฐัพพะ ที่สัมผัสด้วย กาย ก็ดี, ธรรมารมณ์ ที่รู้แจ้ง
ด้วย ใจ ก็ดี, อันเป็นสิ่งที่น่าปรารถนา น่ารักใคร่ น่าพอใจ
เป็นที่ยวนตายวนใจให้รัก เป็นที่เข้าไปตั้งอาศัยอยู่แห่ง
ความใคร่ เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัดย้อมใจ มีอยู่;
ภิกษุย่อมไม่เพลิดเพลิน ไม่พรำ่สรรเสริญ ไม่เมาหมก
ซึ่งอารมณ์ มีรูปเป็นต้นนั้น. เมื่อภิกษุไม่เพลิดเพลิน ไม่พรำ่�
สรรเสริญ ไม่เมาหมก ซึ่งอารมณ์ มีรูปเป็นต้นนั้นอยู่,
นันทิ (ความเพลิน) ย่อมดับไป.
ปุณณะ ! เรากล่าวว่า “ความดับไม่มีเหลือ
ของทุกข์มีได้ เพราะความดับไม่เหลือของความเพลิน”
ดังนี้ แล.
อุปริ. ม. ๑๔/๔๘๑/๗๕๖.


ออฟไลน์ สายฝน

  • ตัวแทนจำหน่าย
  • ระดับ 4
  • **
  • กระทู้: 333
  • 440842cc (X-MEN)
Re: พุทธวจนสวัสดี
« ตอบกลับ #13 เมื่อ: วันที่ 24 พฤษภาคม 2013, 06:52:25 น. »
24 พุ ท ธ ว จ น

        กายคตาสติ
เป็นเสาหลักเสาเขื่อนอย่างดีของจิต
ลักษณะของผู้ไูม่ตั้งจิตในกายคตาสติ

ภิกษุทั้งหลาย ! เปรียบเหมือนบุรุษจับสัตว์
หกชนิด อันมีที่อยู่อาศัยต่างกัน มีที่เที่ยวหากินต่างกัน
มาผูกรวมกันด้วยเชือกอันมั่นคง; คือเขาจับงูมาผูกด้วย
เชือกเหนียวเส้นหนึ่ง, จับจระเข้, จับนก, จับสุนัขบ้าน,
จับสุนัขจิ้งจอก, จับลิง มาผูกด้วยเชือกเหนียวเส้นหนึ่งๆ
แล้วผูกรวมเข้าด้วยกันเป็นปมเดียวในท่ามกลาง ปล่อยแล้ว.
ภิกษุทั้งหลาย ! ครั้งนั้น สัตว์เหล่านั้นทั้งหกชนิด
อันมีที่อาศัยและที่เที่ยวต่างๆ กัน ก็ยื้อแย่งฉุดดึงกันเพื่อ
จะไปสู่ที่อาศัยที่เที่ยวของตนๆ : งูจะเข้า จอมปลวก,
จระเข้จะลงนำ้, นกจะบินขึ้นไปในอากาศ, สุนัขจะเข้า บ้า น,
สุนัขจิ้งจอกจะไปป่าช้า , ลิงก็จะไปป่า. ครั้นเหนื่อยล้ากัน
ทั้งหกสัตว์แล้ว สัตว์ใดมีกำลังกว่า สัตว์นอกนั้นก็ต้องถูกลาก
ติดตามไปตามอำนาจของสัตว์นั้น ข้อนี้ฉันใด;

ฉบับ ๔ มรรค วิธีที่ ง่าย 25
ภิกษุทั้งหลาย ! ภิกษุใด ไม่อบรมทำให้มาก
ในกายคตาสติแล้ว ตา ก็จะฉุดเอาภิกษุนั้นไปหารูป
ที่น่าพอใจ, รูปที่ไม่น่าพอใจก็กลายเป็นสิ่งที่เธอรู้สึกอึดอัด
ขยะแขยง; หู ก็จะฉุดเอาภิกษุนั้นไปหาเสียงที่น่าฟัง,
เสียงที่ไม่น่าฟังก็กลายเป็นสิ่งที่เธอรู้สึกอึดอัดขยะแขยง;
จมูก ก็จะฉุดเอาภิกษุนั้นไปหากลิ่นที่น่าสูดดม, กลิ่นที่
ไม่น่าสูดดมก็กลายเป็นสิ่งที่เธอรู้สึกอึดอัดขยะแขยง;
ลิ้น ก็จะฉุดเอาภิกษุนั้นไปหารสที่ชอบใจ, รสที่ไม่ชอบใจ
ก็กลายเป็นสิ่งที่เธอรู้สึกอึดอัดขยะแขยง; กาย ก็จะฉุดเอา
ภิกษุนั้นไปหาสัมผัสที่ยั่วยวนใจ, สัมผัสที่ไม่ยั่วยวนใจก็
กลายเป็นสิ่งที่เธอรู้สึกอึดอัดขยะแขยง; และ ใจ ก็จะฉุด
เอาภิกษุนั้น ไปหาธรรมารมณ์ที่ถูกใจ, ธรรมารมณ์ที่
ไม่ถูกใจก็กลายเป็นสิ่งที่เธอรู้สึกอึดอัดขยะแขยง; ข้อนี้
ก็ฉันนั้นเหมือนกัน.
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 24 พฤษภาคม 2013, 06:55:34 น. โดย สายฝน »

ออฟไลน์ สายฝน

  • ตัวแทนจำหน่าย
  • ระดับ 4
  • **
  • กระทู้: 333
  • 440842cc (X-MEN)
Re: พุทธวจนสวัสดี
« ตอบกลับ #14 เมื่อ: วันที่ 24 พฤษภาคม 2013, 06:59:15 น. »
26 พุ ท ธ ว จ น
ลักษณะของผู้ตั้งจิตในกายคตาสติ

ภิกษุทั้งหลาย ! เปรียบเหมือนบุรุษจับสัตว์
หกชนิด อันมีที่อยู่อาศัยต่างกัน มีที่เที่ยวหากินต่างกัน
มาผูกรวมกันด้วยเชือกอันมั่นคง; คือเขาจับงูมาผูกด้วย
เชือกเหนียวเส้นหนึ่ง, จับจระเข้, จับนก, จับสุนัขบ้าน,
จับสุนัขจิ้งจอกและจับลิง มาผูกด้วยเชือกเหนียวเส้นหนึ่งๆ
ครั้นแล้ว นำไปผูกไว้กับเสาเขื่อนหรือ เสาหลักอีกต่อหนึ่ง.
ภิกษุทั้งหลาย ! ครั้งนั้น สัตว์ทั้งหกชนิดเหล่านั้น
อันมีที่อาศัยและที่เที่ยวต่างๆ กัน ก็ยื้อแย่งฉุดดึงกันเพื่อ
จะไปสู่ที่อาศัยที่เที่ยวของตนๆ : งูจะเข้าจอมปลวก,
จระเข้จะลงน้ำ, นกจะบินขึ้นไปในอากาศ, สุนัขจะเข้าบ้าน,
สุนัขจิ้งจอกจะไปป่าช้า, ลิงก็จะไปป่า.
ภิกษุทั้งหลาย ! ในกาลใดแล ความเป็นไปภายใน
ของสัตว์ทั้งหกชนิดเหล่านั้น มีแต่ความเมื่อยล้าแล้ว;
ในกาลนั้น มันทั้งหลายก็จะพึงเข้าไปยืนเจ่า นั่งเจ่า นอนเจ่า
อยู่ข้างเสาเขื่อนหรือเสาหลักนั้นเอง ข้อนี้ฉันใด;

ฉบับ ๔ มรรค วิธีที่ ง่าย 27
ภิกษุทั้งหลาย ! ภิกษุใดได้อบรมทำให้มาก
ในกายคตาสติแล้ว ตา ก็จะไม่ฉุดเอาภิกษุนั้นไปหารูปที่
น่าพอใจ, รูปที่ไม่น่าพอใจ ก็ไม่เป็นสิ่งที่เธอรู้สึกอึดอัด
ขยะแขยง; หู ก็จะไม่ฉุดเอาภิกษุนั้นไปหาเสียงที่น่าฟัง,
เสียงที่ไม่น่าฟัง ก็ไม่เป็นสิ่งที่เธอรู้สึกอึดอัดขยะแขยง;
จมูก ก็จะไม่ฉุดเอาภิกษุนั้นไปหากลิ่นที่น่าสูดดม, กลิ่นที่
ไม่น่าสูดดม ก็ไม่เป็นสิ่งที่เธอรู้สึกอึดอัดขยะแขยง; ลิ้น ก็
จะไม่ฉุดเอาภิกษุนั้นไปหารสที่ชอบใจ, รสที่ไม่ชอบใจ ก็
ไม่เป็นสิ่งที่เธอรู้สึกอึดอัดขยะแขยง; กาย ก็จะไม่ฉุดเอา
ภิกษุนั้นไปหาสัมผัสที่ยั่วยวนใจ, สัมผัสที่ไม่ยั่วยวนใจ ก็
ไม่เป็นสิ่งที่เธอรู้สึกอึดอัดขยะแขยง; และใจ ก็จะไม่ฉุดเอา
ภิกษุนั้นไปหาธรรมารมณ์ที่ถูกใจ, ธรรมารมณ์ที่ไม่ถูกใจ ก็
ไม่เป็นสิ่งที่เธอรู้สึกอึดอัดขยะแขยง; ข้อนี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน.
ภิกษุทั้งหลาย ! คำว่า “เสาเขื่อน หรือ เสาหลัก”
นี้เป็นคำเรียกแทนชื่อแห่ง กายคตาสติ.
ภิกษุทั้งหลาย ! เพราะฉะนั้น ในเรื่องนี้ พวกเธอ
ทั้งหลายพึงสำเหนียกใจไว้ว่า

28 พุ ท ธ ว จ น
“กายคตาสติของเราทั้งหลาย จักเป็นสิ่งที่เรา
อบรม กระทำให้มาก กระทำให้เป็นยานเครื่องนำไป
กระทำให้เป็นของที่อาศัยได้ เพียรตั้งไว้เนืองๆ เพียร
เสริมสร้างโดยรอบคอบ เพียรปรารภสม่ำเสมอด้วยดี”
ดังนี้.
ภิกษุทั้งหลาย ! พวกเธอทั้งหลาย พึงสำเหนียกใจไว้
ด้วยอาการอย่างนี้แล.
สฬา. สํ. ๑๘/๒๔๖,๒๔๘-๒๔๙/๓๔๘,๓๕๐.

ออฟไลน์ สายฝน

  • ตัวแทนจำหน่าย
  • ระดับ 4
  • **
  • กระทู้: 333
  • 440842cc (X-MEN)
Re: พุทธวจนสวัสดี
« ตอบกลับ #15 เมื่อ: วันที่ 24 พฤษภาคม 2013, 07:03:11 น. »
ฉบับ ๔ มรรค วิธีที่ ง่าย 29

กระดองของบรรพชิต

ภิกษุทั้งหลาย ! เรื่องเคยมีมาแต่ก่อน : เต่าตัวหนึ่ง
เที่ยวหากินตามริมลำธารในตอนเย็น, สุนัขจิ้งจอกตัวหนึ่ง
ก็เที่ยวหากินตามริมลำธารในตอนเย็นเช่นเดียวกัน เต่าตัวนี้
ได้เห็นสุนัขจิ้งจอกซึ่งเที่ยวหากิน (เดินเข้ามา) แต่ไกล, ครั้นแล้ว
จึงหดอวัยวะทั้งหลาย มีศีรษะเป็นที่ ๕ เข้าในกระดองของ
ตนเสีย เป็นผู้ขวนขวายน้อยนิ่งอยู่ แม้สุนัขจิ้งจอก
ก็ได้เห็นเต่าตัวที่เที่ยวหากินนั้นแต่ไกลเหมือนกัน, ครั้นแล้ว
จึงเดินตรงเข้าไปที่เต่า คอยช่องอยู่ว่า “เมื่อไรหนอเต่าจัก
โผล่อวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งออกในบรรดาอวัยวะทั้งหลาย
มีศีรษะเป็นที่ ๕ แล้ว จักกัดอวัยวะส่วนนั้น คร่าเอาออกมา
กินเสีย” ดังนี้. ภิกษุทั้งหลาย ! ตลอดเวลาที่เต่าไม่โผล่
อวัยวะออกมา สุนัขจิ้งจอกก็ไม่ได้โอกาสต้องหลีกไปเอง;
ภิกษุทั้งหลาย ! ฉันใดก็ฉันนั้น : มารผู้ใจบาป
ก็คอยช่องต่อพวกเธอทั้งหลาย ติดต่อไม่ขาดระยะอยู่
เหมือนกันว่า “ถ้าอย่างไร เราคงได้ช่อง ไม่ทางตาก็ทางหู
หรือทางจมูก หรือทางลิ้น หรือทางกาย หรือทางใจ”, ดังนี้.

30 พุ ท ธ ว จ น
ภิกษุทั้งหลาย ! เพราะฉะนั้น ในเรื่องนี้ พวกเธอ
ทั้งหลาย จงเป็นผู้คุ้มครองทวารในอินทรีย์ทั้งหลายอยู่เถิด;
ได้เห็นรูปด้วยตา, ได้ฟังเสียงด้วยหู, ได้ดมกลิ่นด้วยจมูก,
ได้ลิ้มรสด้วยลิ้น, ได้สัมผัสโผฏฐัพพะด้วยกาย, หรือได้รู้
ธรรมารมณ์ด้วยใจแล้ว จงอย่าได้ถือเอาโดยลักษณะที่
เป็นการรวบถือทั้งหมด, อย่าได้ถือเอาโดยลักษณะที่
เป็นการแยกถือเป็นส่วนๆ เลย, สิ่งที่เป็นบาปอกุศล คือ
อภิชฌา (โลภอยากได้ของเขา) และโทมนัส (ความเป็นทุกข์ใจ)
จะพึงไหลไปตามบุคคลผู้ไม่สำรวม ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
เพราะการไม่สำรวมอินทรีย์เหล่าใดเป็นเหตุ, พวกเธอทั้งหลาย
จงปฏิบัติเพื่อการปิดกั้นอินทรีย์นั้นไว้, พวกเธอทั้งหลาย
จงรักษาและถึงความสำรวม ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เถิด.
ภิกษุทั้งหลาย ! ในกาลใด พวกเธอทั้งหลาย
จักเป็นผู้คุ้มครองทวารในอินทรีย์ทั้งหลายอยู่; ในกาลนั้น
มารผู้ใจบาป จักไม่ได้ช่องแม้จากพวกเธอทั้งหลาย และ
จักต้องหลีกไปเอง, เหมือนสุนัขจิ้งจอกไม่ได้ช่องจากเต่า
ก็หลีกไปเอง ฉะนั้น.

ฉบับ ๔ มรรค วิธีที่ ง่าย 31
“เต่าหดอวัยวะไว้ในกระดอง ฉันใด,
ภิกษุ พึงตั้งมโนวิตก (ความตริตรึกทางใจ)
ไว้ในกระดอง ฉันนั้น,
เป็นผู้ที่ตัณหาและทิฏฐิไม่อิงอาศัยได้,
ไม่เบียดเบียนผู้อื่น,
ไม่กล่าวร้ายต่อใครทั้งหมด,
เป็นผู้ดับสนิทแล้ว” ดังนี้แล.
สฬา. สํ. ๑๘/๒๒๒-๒๒๓/๓๒๐-๓๒๑.

ออฟไลน์ สายฝน

  • ตัวแทนจำหน่าย
  • ระดับ 4
  • **
  • กระทู้: 333
  • 440842cc (X-MEN)
Re: พุทธวจนสวัสดี
« ตอบกลับ #16 เมื่อ: วันที่ 24 พฤษภาคม 2013, 07:08:09 น. »
32 พุ ท ธ ว จ น

ตั้งจิตในกายคตาสติ
เสมือนบุรุษผู้ถือหม้อน้ำมัน

ภิกษุทั้งหลาย ! เปรียบเหมือนหมู่มหาชน
ได้ทราบข่าวว่า มีนางงามในชนบทพึงประชุมกัน ก็นางงาม
ในชนบทนั้น น่าดูอย่างยิ่งในการฟ้อนรำ น่าดูอย่างยิ่ง
ในการขับร้อง หมู่มหาชนได้ทราบข่าวว่า นางงามในชนบท
จะฟ้อนรำ ขับร้อง พึงประชุมกันยิ่งขึ้นกว่าประมาณ
ครั้งนั้น บุรุษผู้อยากเป็นอยู่ ไม่อยากตาย ปรารถนา
ความสุข เกลียดทุกข์ พึงมากล่าวกะหมู่มหาชนนั้น
อย่างนี้ว่า
         “บุรุษผู้เจริญ ! ท่านพึงนำ ภาชนะน้ำ มันอันเต็มเปี่ยมนี้
ไปในระหว่างที่ประชุมใหญ่กับนางงามในชนบท และจักมีบุรุษเงื้อดาบ
ตามบุรุษผู้นำ หม้อน้ำ มันนั้นไปข้างหลังๆ บอกว่า ท่านจักทำ น้ำ มันนั้นหก
แม้หน่อยหนึ่งในที่ใด ศีรษะของท่านจักขาดตกลงไปในที่นั้นทีเดียว”.
ฉบับ ๔ มรรค วิธีที่ ง่าย 33
ภิกษุทั้งหลาย ! เธอทั้งหลายจะสำคัญความข้อนั้น
เป็นอย่างไร ? บุรุษผู้นั้นจะไม่ใส่ใจภาชนะน้ำมันโน้น
แล้วพึงประมาทในภายนอกเทียวหรือ.

         “ไม่เป็นอย่างนั้น พระเจ้าข้า !”.
ภิกษุทั้งหลาย ! เราทำอุปมานี้ เพื่อให้เข้าใจ
เนื้อความนี้ชัดขึ้น เนื้อความในข้อนี้มีอย่างนี้แล คำว่า
“ภาชนะนำ้มันอันเต็มเปี่ยม” เป็นชื่อของ “กายคตาสติ”.
ภิกษุทั้งหลาย ! เพราะเหตุนั้นในเรื่องนี้
เธอทั้งหลาย พึงทำการศึกษาอย่างนี้ว่า
กายคตาสติ จักเป็นของอันเราเจริญแล้ว กระทำ
ให้มากแล้ว กระทำให้เป็นดังยาน กระทำให้เป็นที่ตั้ง
กระทำไม่หยุด สั่งสมแล้ว ปรารภดีแล้ว.
ภิกษุทั้งหลาย !
เธอทั้งหลาย พึงทำการศึกษาอย่างนี้.

34 พุ ท ธ ว จ น
ภิกษุทั้งหลาย !
ชนเหล่าใด ไม่บริโภคกายคตาสติ
ชนเหล่านั้นชื่อว่า ย่อมไม่บริโภคอมตะ.
ภิกษุทั้งหลาย !
ชนเหล่าใด บริโภคกายคตาสติ
ชนเหล่านั้นชื่อว่า ย่อมบริโภคอมตะ.
ภิกษุทั้งหลาย !
ชนเหล่าใด ประมาทกายคตาสติ
ชนเหล่านั้นชื่อว่า ประมาทอมตะ.
ภิกษุทั้งหลาย !
ชนเหล่าใด ไม่ประมาทกายคตาสติ
ชนเหล่านั้นชื่อว่า ไม่ประมาทอมตะ ดังนี้ แล.
มหาวาร. สํ ๑๙/๒๒๖-๒๒๗/๗๖๔–๗๖๖.
เอก. อํ. ๒๐/๕๙/๒๓๕,๒๓๙.

ออฟไลน์ สายฝน

  • ตัวแทนจำหน่าย
  • ระดับ 4
  • **
  • กระทู้: 333
  • 440842cc (X-MEN)
Re: พุทธวจนสวัสดี
« ตอบกลับ #17 เมื่อ: วันที่ 24 พฤษภาคม 2013, 07:11:58 น. »
     
         อานาปานสติ

ออฟไลน์ สายฝน

  • ตัวแทนจำหน่าย
  • ระดับ 4
  • **
  • กระทู้: 333
  • 440842cc (X-MEN)
Re: พุทธวจนสวัสดี
« ตอบกลับ #18 เมื่อ: วันที่ 24 พฤษภาคม 2013, 07:25:01 น. »
36 พุ ท ธ ว จ น
๑๐
อานิสงส์สูงสุด
แห่งอานาปานสติ ๒ ประการ

     ภิกษุทั้งหลาย ! อานาปานสติอันบุคคลเจริญ
กระทำให้มากแล้ว ย่อมมีผลใหญ่ มีอานิสงส์ใหญ่
ก็อานาปานสติ อันบุคคลเจริญแล้วอย่างไร กระทำให้มาก
แล้วอย่างไร จึงมีผลใหญ่ มีอานิสงส์ใหญ่ ?
      ภิกษุทั้งหลาย ! ในกรณีนี้ ภิกษุไปแล้วสู่ป่า
หรือโคนไม้ หรือเรือนว่างก็ตาม นั่งคู้ขาเข้ามาโดยรอบ
ตั้งกายตรง ดำรงสติเฉพาะหน้า เธอนั้นมีสติหายใจเข้า
มีสติหายใจออก :
     เมื่อหายใจเข้า ยาว ก็รู้ชัดว่าเราหายใจเข้ายาว,
เมื่อหายใจออกยาว ก็รู้ชัดว่าเราหายใจออกยาว;
     เมื่อหายใจเข้า สั้น ก็รู้ชัดว่าเราหายใจเข้าสั้น,
เมื่อหายใจออกสั้น ก็รู้ชัดว่าเราหายใจออกสั้น;

ฉบับ ๔ มรรค วิธีที่ ง่าย 37
     เธอย่อมทำการฝึกหัดศึกษาว่า “เราเป็นผู้รู้พร้อม
เฉพาะซึ่งกายทั้งปวง (สพฺพกายปฏิสํเวที) หายใจเข้า”,
ว่า “เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งกายทั้งปวง หายใจออก”;
     เธอย่อมทำการฝึกหัดศึกษาว่า “เราเป็นผู้ทำ
กายสังขารให้รำงับ (ปสฺสมฺภยํ กายสงฺขารํ) หายใจเข้า”,
ว่า “เราเป็นผู้ทำกายสังขารให้รำงับ หายใจออก”;
     เธอย่อมทำการฝึกหัดศึกษาว่า “เราเป็นผู้รู้พร้อม
เฉพาะซึ่งปีติ (ปีติปฏิสํเวที) หายใจเข้า”, ว่า “เราเป็นผู้รู้
พร้อมเฉพาะซึ่งปีติ หายใจออก”;
     เธอย่อมทำการฝึกหัดศึกษาว่า “เราเป็นผู้รู้พร้อม
เฉพาะซึ่งสุข (สุขปฏิสํเวที) หายใจเข้า”, ว่า “เราเป็นผู้รู้
พร้อมเฉพาะซึ่งสุข หายใจออก”;
     เธอย่อมทำการฝึกหัดศึกษาว่า “เราเป็นผู้รู้พร้อม
เฉพาะซึ่งจิตตสังขาร (จิตฺตสงฺขารปฏิสํเวที) หายใจเข้า”,
ว่า “เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งจิตตสังขาร หายใจออก”;
     เธอย่อมทำการฝึกหัดศึกษาว่า “เราเป็นผู้ทำ
จิตตสังขารให้รำงับ (ปสฺสมฺภยํ จิตฺตสงฺขารํ) หายใจเข้า”,
ว่า “เราเป็นผู้ทำจิตตสังขารให้รำงับ หายใจออก”;

38 พุ ท ธ ว จ น
     เธอย่อมทำการฝึกหัดศึกษาว่า “เราเป็นผู้รู้พร้อม
เฉพาะซึ่งจิต (จิตฺตปฏิสํเวที) หายใจเข้า”, ว่า “เราเป็นผู้รู้
พร้อมเฉพาะซึ่งจิต หายใจออก”;
     เธอย่อมทำการฝึกหัดศึกษาว่า “เราเป็นผู้ทำจิต
ให้ปราโมทย์ยิ่ง (อภิปฺปโมทยํ จิตฺตํ) หายใจเข้า”, ว่า
“เราเป็นผู้ทำจิตให้ปราโมทย์ยิ่ง หายใจออก”;
     เธอย่อมทำการฝึกหัดศึกษาว่า “เราเป็นผู้ทำจิต
ให้ตั้งมั่น (สมาทหํ จิตฺตํ) หายใจเข้า”, ว่า “เราเป็นผู้ทำจิต
ให้ตั้งมั่น หายใจออก”;
     เธอย่อมทำการฝึกหัดศึกษาว่า “เราเป็นผู้ทำจิต
ให้ปล่อยอยู่ (วิโมจยํ จิตฺตํ) หายใจเข้า”, ว่า “เราเป็นผู้ทำ
จิตให้ปล่อยอยู่ หายใจออก”;
     เธอย่อมทำการฝึกหัดศึกษาว่า “เราเป็นผู้เห็นซึ่ง
ความไม่เที่ยงอยู่เป็นประจำ (อนิจฺจานุปสฺสี) หายใจเข้า”, ว่า
“เราเป็นผู้เห็นซึ่งความไม่เที่ยงอยู่เป็นประจำ หายใจออก”;
     เธอย่อมทำการฝึกหัดศึกษาว่า “เราเป็นผู้เห็นซึ่ง
ความจางคลายอยู่เป็นประจำ (วิราคานุปสฺสี) หายใจเข้า”, ว่า
“เราเป็นผู้เห็นซึ่งความจางคลายอยู่เป็นประจำ หายใจออก”;

ฉบับ ๔ มรรค วิธีที่ ง่าย 39
     เธอย่อมทำการฝึกหัดศึกษาว่า “เราเป็นผู้เห็นซึ่ง
ความดับไม่เหลืออยู่เป็นประจำ (นิโรธานุปสฺสี) หายใจเข้า”, ว่า
“เราเป็นผู้เห็นซึ่งความดับไม่เหลืออยู่เป็นประจำ� หายใจออก”;
     เธอย่อมทำการฝึกหัดศึกษาว่า “เราเป็นผู้เห็นซึ่ง
ความสลัดคืนอยู่เป็นประจำ (ปฏินิสฺสคฺคานุปสฺสี) หายใจเข้า”,
ว่า “เราเป็นผู้เห็นซึ่งความสลัดคืนอยู่เป็นประจำ� หายใจออก”;
ภิกษุทั้งหลาย ! อานาปานสติ อันบุคคลเจริญแล้ว
กระทำให้มากแล้ว อย่างนี้แล ย่อมมีผลใหญ่ มีอานิสงส์ใหญ่.
ภิกษุทั้งหลาย ! เมื่ออานาปานสติ อันบุคคลเจริญ
ทำให้มากแล้วอยู่อย่างนี้ ผลอานิสงส์อย่างใดอย่างหนึ่ง
ในบรรดาผล ๒ ประการ เป็นสิ่งที่หวังได้;
      คือ อรหัตตผลในปัจจุบัน
หรือว่าถ้ายังมีอุปาทิเหลืออยู่ ก็จักเป็น อนาคามี.
มหาวาร. สํ. ๑๙/๓๙๖-๓๙๗/๑๓๑๑-๑๓๑๓.

ออฟไลน์ สายฝน

  • ตัวแทนจำหน่าย
  • ระดับ 4
  • **
  • กระทู้: 333
  • 440842cc (X-MEN)
Re: พุทธวจนสวัสดี
« ตอบกลับ #19 เมื่อ: วันที่ 24 พฤษภาคม 2013, 07:28:50 น. »
40 พุ ท ธ ว จ น
๑๑
เจริญอานาปานสติ เป็นเหตุให้
สติปัฏฐาน ๔ โพชฌงค์ ๗
วิชชาและวิมุตติบริบูรณ์

ภิกษุทั้งหลาย ! ธรรมอันเอกนั้นมีอยู่ ซึ่งเมื่อ
บุคคลเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมทำธรรมทั้ง ๔ ให้
บริบูรณ์; ครั้นธรรมทั้ง ๔ นั้น อันบุคคลเจริญแล้ว ทำให้มาก
แล้ว ย่อมทำธรรมทั้ง ๗ ให้บริบูรณ์; ครั้นธรรมทั้ง ๗ นั้น
อันบุคคลเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมทำธรรมทั้ง ๒
ให้บริบูรณ์ได้.
             ภิกษุทั้งหลาย ! อานาปานสติสมาธินี้แล เป็น
ธรรมอันเอก ซึ่งเมื่อบุคคลเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว
ย่อมทำสติปัฏฐานทั้ง ๔ ให้บริบูรณ์; สติปัฏฐานทั้ง ๔
อันบุคคลเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมทำโพชฌงคทั้ง ๗
ให้บริบูรณ์; โพชฌงค์ทั้ง ๗ อันบุคคลเจริญแล้ว ทำให้
มากแล้ว ย่อมทำวิชชาและวิมุตติให้บริบูรณ์ได้.

ออฟไลน์ sriAROON

  • ลงทะเบียน HL
  • ขี้โม้ระดับสุดยอด
  • *
  • กระทู้: 3717
  • อย่าเลื่อยขี้เลื่อย
Re: พุทธวจนสวัสดี
« ตอบกลับ #20 เมื่อ: วันที่ 24 พฤษภาคม 2013, 07:35:45 น. »
ผมอ่านจบหลายๆๆๆรอบแล้ว ซึ้งมากครับ

ออฟไลน์ อยู่ไกลเมืองสยาม

  • ลงทะเบียน HL
  • ระดับ 5
  • *
  • กระทู้: 1373
  • 6DDAD9CC ครูภูม 6EE748A7 (MP) 55E5ED73 ไก่ต๊อก
Re: พุทธวจนสวัสดี
« ตอบกลับ #21 เมื่อ: วันที่ 24 พฤษภาคม 2013, 07:45:25 น. »
 :thank1:

ออฟไลน์ mds 53

  • ลงทะเบียน HL
  • ระดับ 5
  • *
  • กระทู้: 517
  • HL#9655E44D ซื้อจากคุณอู๊ด โคจรครับ
Re: พุทธวจนสวัสดี
« ตอบกลับ #22 เมื่อ: วันที่ 24 พฤษภาคม 2013, 07:48:24 น. »
โอ๊ยอ่านแล้วไม่เข้าครับปัญญาผมไม่ถึงจริงๆ
ผมรู้แต่ว่า  84000 พระธรรมขันธ์ ย่อให้เหลือข้อเดียว ( คือ " สติ " )
พระพุทธเจ้าตรัทไว้ว่า "ใช้ชีวิตอย่างไม่ประมาท และขาดสติ"

ออฟไลน์ ขลุ่ย

  • ตัวแทนจำหน่าย
  • ขี้โม้ระดับสุดยอด
  • **
  • กระทู้: 5753
  • HL#740DB29C @ 6C8A4886 เจ้าอาวาส
Re: พุทธวจนสวัสดี
« ตอบกลับ #23 เมื่อ: วันที่ 24 พฤษภาคม 2013, 07:53:21 น. »
ดีใจด้วยน้องฝน ที่จะละกิเลส มาบวชเรียน สาธุ

ออฟไลน์ สายฝน

  • ตัวแทนจำหน่าย
  • ระดับ 4
  • **
  • กระทู้: 333
  • 440842cc (X-MEN)
Re: พุทธวจนสวัสดี
« ตอบกลับ #24 เมื่อ: วันที่ 24 พฤษภาคม 2013, 07:53:52 น. »
ฉบับ ๔ มรรค วิธีที่ ง่าย 41
อานาปานสติบริบูรณ์
ย่อมทำสติปัฏฐานให้บริบูรณ์

      ภิกษุทั้งหลาย ! ก็อานาปานสติ อันบุคคลเจริญ
แล้ว ทำให้มากแล้วอย่างไรเล่า จึงทำสติปัฏฐานทั้ง ๔
ให้บริบูรณ์ได้ ?
      ภิกษุทั้งหลาย ! สมัยใด ภิกษุ
      เมื่อหายใจเข้า ยาว ก็รู้ชัดว่าเราหายใจเข้ายาว,
เมื่อหายใจออกยาว ก็รู้ชัดว่าเราหายใจออกยาว;
      เมื่อหายใจเข้า สั้น ก็รู้ชัดว่าเราหายใจเข้าสั้น,
เมื่อหายใจออกสั้น ก็รู้ชัดว่าเราหายใจออกสั้น;
      ย่อมทำการฝึกหัดศึกษาว่า “เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะ
ซึ่งกายทั้งปวง หายใจเข้า”, ว่า “เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะ
ซึ่งกายทั้งปวง หายใจออก”;
      ย่อมทำการฝึกหัดศึกษาว่า “เราเป็นผู้ทำกายสังขาร
ให้รำงับ หายใจเข้า”, ว่า “เราเป็นผู้ทำกายสังขารให้รำ�งับ
หายใจออก”;

42 พุ ท ธ ว จ น
       ภิกษุทั้งหลาย ! สมัยนั้น ภิกษุนั้นชื่อว่า เป็น
ผู้เห็นกายในกายอยู่เป็นประจำ มีความเพียรเผากิเลส
มีสัมปชัญญะ มีสติ นำอภิชฌาและโทมนัสในโลกออกเสียได้.
ภิกษุทั้งหลาย ! เราย่อมกล่าวลมหายใจเข้า และ
ลมหายใจออก ว่าเป็นกายอันหนึ่งๆ ในกายทั้งหลาย.
       ภิกษุทั้งหลาย ! เพราะเหตุนั้นในเรื่องนี้ ภิกษุนั้น
ย่อมชื่อว่าเป็นผู้เห็นกายในกายอยู่เป็นประจำ มีความเพียร
เผากิเลส มีสัมปชัญญะ มีสติ นำอภิชฌาและโทมนัสในโลก
ออกเสียได้.
       ภิกษุทั้งหลาย ! สมัยใด ภิกษุ
       ย่อมทำการฝึกหัดศึกษาว่า “เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะ
ซึ่งปีติ หายใจเข้า”, ว่า “เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งปีติ
หายใจออก”;
       ย่อมทำการฝึกหัดศึกษาว่า “เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะ
ซึ่งสุข หายใจเข้า”, ว่า “เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งสุข
หายใจออก”;

ฉบับ ๔ มรรค วิธีที่ ง่าย 43
      ย่อมทำการฝึกหัดศึกษาว่า “เราเป็นผู้รู้พร้อม
เฉพาะซึ่งจิตตสังขาร หายใจเข้า”, ว่า “เราเป็นผู้รู้พร้อม
เฉพาะซึ่งจิตตสังขาร หายใจออก”;
      ย่อมทำการฝึกหัดศึกษาว่า “เราเป็นผู้ทำ
จิตตสังขารให้รำงับ หายใจเข้า”, ว่า “เราเป็นผู้ทำ
จิตตสังขารให้รำงับ หายใจออก”;
       ภิกษุทั้งหลาย ! สมัยนั้น ภิกษุนั้นชื่อว่า เป็นผู้
เห็นเวทนาในเวทนาทั้งหลายอยู่เป็นประจำ มีความเพียร
เผากิเลส มีสัมปชัญญะ มีสติ นำอภิชฌาและโทมนัสในโลก
ออกเสียได้.
      ภิกษุทั้งหลาย ! เราย่อมกล่าว การทำในใจเป็น
อย่างดีต่อลมหายใจเข้า และลมหายใจออก ว่าเป็น
เวทนาอันหนึ่งๆ ในเวทนาทั้งหลาย.
      ภิกษุทั้งหลาย ! เพราะเหตุนั้นในเรื่องนี้ ภิกษุนั้น
ย่อมชื่อว่าเป็นผู้เห็นเวทนาในเวทนาทั้งหลายอยู่เป็นประจำ
มีความเพียรเผากิเลส มีสัมปชัญญะ มีสติ นำอภิชฌาและ
โทมนัสในโลกออกเสียได้.

44 พุ ท ธ ว จ น
ภิกษุทั้งหลาย ! สมัยใด ภิกษุ
      ย่อมทำการฝึกหัดศึกษาว่า “เราเป็นผู้รู้พร้อม
เฉพาะซึ่งจิต หายใจเข้า”, ว่า “เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งจิต
หายใจออก”;
      ย่อมทำการฝึกหัดศึกษาว่า “เราเป็นผู้ทำจิตให้
ปราโมทย์ยิ่ง หายใจเข้า”, ว่า “เราเป็นผู้ทำจิตให้ปราโมทย์ยิ่ง
หายใจออก”;
      ย่อมทำการฝึกหัดศึกษาว่า “เราเป็นผู้ทำจิตให้
ตั้งมั่น หายใจเข้า”, ว่า “เราเป็นผู้ทำจิตให้ตั้งมั่น หายใจออก”;
      ย่อมทำการฝึกหัดศึกษาว่า “เราเป็นผู้ทำจิตให้
ปล่อยอยู่ หายใจเข้า”, ว่า “เราเป็นผู้ทำจิตให้ปล่อยอยู่
หายใจออก”;
        ภิกษุทั้งหลาย ! สมัยนั้น ภิกษุนั้นชื่อว่า เป็นผู้เห็น
จิตในจิตอยู่เป็นประจำ มีความเพียรเผากิเลส มีสัมปชัญญะ
มีสติ นำอภิชฌาและโทมนัสในโลกออกเสียได้.
ภิกษุทั้งหลาย ! เราไม่กล่าวอานาปานสติ ว่าเป็น
สิ่งที่มีได้แก่บุคคลผู้มีสติอันลืมหลงแล้ว ไม่มีสัมปชัญญะ.

ฉบับ ๔ มรรค วิธีที่ ง่าย 45
        ภิกษุทั้งหลาย ! เพราะเหตุนั้นในเรื่องนี้ ภิกษุนั้น
ย่อมชื่อว่าเป็นผู้เห็นจิตในจิตอยู่เป็นประจำ มีความเพียร
เผากิเลส มีสัมปชัญญะ มีสติ นำอภิชฌาและโทมนัส
ในโลกออกเสียได้.
       ภิกษุทั้งหลาย ! สมัยใด ภิกษุ
     ย่อมทำการฝึกหัดศึกษาว่า “เราเป็นผู้เห็นซึ่ง
ความไม่เที่ยงอยู่เป็นประจำ หายใจเข้า”, ว่า “เราเป็น
ผู้เห็นซึ่งความไม่เที่ยงอยู่เป็นประจำ หายใจออก”;
     ย่อมทำการฝึกหัดศึกษาว่า “เราเป็นผู้เห็นซึ่ง
ความจางคลายอยู่เป็นประจำ หายใจเข้า”, ว่า “เราเป็น
ผู้เห็นซึ่งความจางคลายอยู่เป็นประจำ หายใจออก”;
     ย่อมทำการฝึกหัดศึกษาว่า “เราเป็นผู้เห็นซึ่ง
ความดับไม่เหลืออยู่เป็นประจำ หายใจเข้า”, ว่า “เราเป็น
ผู้เห็นซึ่งความดับไม่เหลืออยู่เป็นประจำ หายใจออก”;
     ย่อมทำการฝึกหัดศึกษาว่า “เราเป็นผู้เห็นซึ่ง
ความสลัดคืนอยู่เป็นประจำ หายใจเข้า”, ว่า “เราเป็น
ผู้เห็นซึ่งความสลัดคืนอยู่เป็นประจำ หายใจออก”;

46 พุ ท ธ ว จ น
        ภิกษุทั้งหลาย ! สมัยนั้น ภิกษุนั้นชื่อว่า เป็นผู้
เห็นธรรมในธรรมทั้งหลายอยู่เป็นประจำ มีความเพียร
เผากิเลส มีสัมปชัญญะ มีสติ นำอภิชฌาและโทมนัส
ในโลกออกเสียได้.
        ภิกษุทั้งหลาย ! ภิกษุนั้น เป็นผู้เข้า ไปเพ่งเฉพาะ
เป็นอย่างดีแล้ว เพราะเธอเห็นการละอภิชฌาและ
โทมนัสทั้งหลายของเธอนั้นด้วยปัญญา.
ภิกษุทั้งหลาย ! เพราะเหตุนั้นในเรื่องนี้ ภิกษุนั้น
        ย่อมชื่อว่าเป็นผู้เห็นธรรมในธรรมทั้งหลายอยู่เป็นประจำ
มีความเพียรเผากิเลส มีสัมปชัญญะ มีสติ นำอภิชฌาและ
โทมนัสในโลกออกเสียได้.
         ภิกษุทั้งหลาย ! อานาปานสติ อันบุคคลเจริญแล้ว
ทำให้มากแล้ว อย่างนี้แล ย่อมทำสติปัฏฐานทั้ง ๔
ให้บริบูรณ์ได้.