-คอนโทรลรูมเลฟเวล (Control Room Level)
ทำหน้าที่ควบคุมความดังเบาของเสียงที่ได้ยินทั้งหมดจากมิเซอร์ สำหรับภายในห้องควบคุมเสียง (control room)
-โซโล (Solo) หรือ PFL
ทำหน้าที่ตัดสัญญาณในแต่ล่ะช่องเสียงออมาเพื่อการฟังโดยอิสระโดยเราจะได้ยินเฉพาะช่องเสียงที่เรากดปุ่มโซโลใช้งานอยู่เท่านั้น โดยไม่จำเป็นต้องปิดร่องเสียงอื่นๆเช่น ในขณะที่กำลังฟังเสียงที่เข้ามาในมิกเซอร์สี่ช่องเสียงพร้อมๆกัน และเราต้องการฟังตรวจสอบเสียงจากช่องเสียงที่สองเพียงช่องเดียวเราก็กดปุ่มโซโลลงไป เราก็จะได้ยินเสียงจากช่องเสียงสองเท่านั้นซึ่งมันจะทำหน้าที่ตัดเสียงแยกในช่องเสียงอื่นๆให้เงียบโดยอัตโนมัติ
-โซโลเลฟเวล (Solo Level) หรือ PFL Level
ทำหน้าที่ควบคุมสัญญาณดังเบาเสียงของโซโลในช่องเสียงต่างๆ บนมิกเซอร์ทั้งหมดว่าให้อยู่ในระดับความดังเบาเท่าไหร่ตามความต้องการของเฮ้นจิเนียร์เพื่อความสมดุลของเสียงเมื่อกดออก เพื่อฟังรวมกับระดับเสียงปกติ จะได้ไม่ต่างในเรื่องของความดังเบาเสียงมากจนเกินไป
-อ๊อซิเลียอะรี (Auxiliary)
เรียกย่อๆว่า ออกเซนด์ (aux send) ทำหน้าที่เป็นตัวจ่ายสัญญาณที่เข้ามาในแต่ล่ะช่องเสียงเพื่องส่งออกไปยังอุปกรณ์ปรุงแต่งเสียงต่างๆ หรือแหล่งรับสัญญาณอื่นๆตามที่เราต้องการ ออกเซนด์ จะมีมาสเตอร์ออก (master aux ) ซึ่งควบคุมความแรงของสัญญาณ AUX ทั้งหมดในทุกช่องเสียงบนมิกเซอร์อีกต่อหนึ่ง
-พรี (Pre)
หมายถึงสัญญาณที่เข้ามาในแชนเนลเสียงของมิกเซอร์ จะถูกดักออกมาก่อนจะเข้าสู่เฟดเดอร์หลักที่เครือ่งมิกเซอร์ ซึ่งเมื่อดึงเฟดเดอร์หลักลงมาเพื่องลดสัญญาณเสียงลง สัญญาณเสียงก็จะไม่เบาตามไปด้วยแต่กจะไปดังออกที่ภาคพรี (pre) ซึ่งอาจจะพ่วงต่อไปยังเอฟเฟ็คต่างๆ เช่น รีเวอร์บ เป็นต้น ดังนั้นเสียงที่ยังคงได้ยินก็จะเป็นเสียงที่มากจากรีเวิร์บนั่นเอง ผลคือสัญญาณที่เข้ามาจะเป็นอิสระไม่ขึ้นกับเฟดเดอร์หลักทำให้สามารถนำสัญญาณนั้นๆไปใช้เพื่อผลได้ตามแต่ต้องการ
-โฟสต์ (Post)
หมายถึงสัญญาณที่เข้ามาในแชนเนลเสียงของมิกเซอร์ จะมีผลดังเบาตามเฟดเดอร์หลัก คือเมื่อเราลดเฟดเดอร์ลงสัญญาณที่เข้ามาก็จะลดลงตามไปด้วย แม้ว่าสัญญาณจะถูกแยกส่งออกไปยังเอฟเฟคอื่นๆก็ตาม
-แพน (Pan)
ทำหน้าทราเคลื่อนย้ายตำแหน่งสัญญาณให้ไปทางซ้ายหรือขวาและยังทำหน้าที่เป็นตัวถ่ายโอนสัญญาณร่องเสียง (track) เพื่อป้อนเข้าสู่เครื่องบันทึกเทปอีกด้วย
-กรุ๊ป หรือ บัส (Group or Bus)
ทำหน้าที่รวมสัญญาณที่เข้ามาจากหลายช่องเสียง (channel) เพื่อรวมสัญญาณให้ออกที่ output เดียวเพื่อส่งต่อไปยังเครื่องขยายเสียงหรือช่องเสียงภายในมิกเซอร์เอง เช่น เราสามารถกรุ๊ป หรือ บัสเสียงของกลุ่มนักร้องประมานเสียงจากหลายๆช่องเสียงบนมิกเซอร์ ให้ออกเป็นช่องเสียงเดียวกันได้ ด้วยการควบคุมเฟดเดอร์เพียงตัวเดียวเพื่อสดวกต่อการควบคุมดังเบาของสัญญาณเสียงทั้งหมด
-เลือกแทรคเสียง (Track Selected)
ในมิกเซอร์ที่มีราคาแพงนั้นจะอยู่ด้านบนสุดเป็นส่วนใหญ่ ทำหน้าที่เป็นตัวจ่ายสัญญาณว่าจะให้ออกไปสู่ช่องเสียงใดที่เครื่องบันทึกเทปแบบมัลตีแทรค ซึ่งอาจเรียกได้อีกชื่อหนึ่งว่า ไดเร็คแอสไซน์ (direct assign)
-ไดเร็ค เอ๊าพุท (Direct Output)
ทำหน้าที่ดักสัญญาณที่เข้ามาโดยไม่ผ่านปุ่มต่างๆบนมิกเซอร์ เพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถนำสัญญาณสดๆนี้ ไปต่อพวกกับอุปกรณ์แต่งเสียง (effects) หรือเครื่องบันทึกเสียงได้โดยตรง ตามแต่วัตถุประสงค์ และในขณะใช้งานฟังชันต่างๆเช่น อีคิว ก็ไม่มีผลต่อสัญญาณต้นฉบับโดยไม่โดนปรุงแต่งเสียก่อน
-เอฟเฟค เซนด์ (Effect Send)
ทำหน้าที่จ่ายสัญญาณออกมาจากตัวมิกเซอร์ในแต่ล่ะช่องเสียงไปสู่เอฟเฟคต่างไเช่น รีเวิร์บ (reverb) หรือดีเลย์ซึ่งมักใช้ปุ่ม aux เป็นตัวส่งสัญญาณ
-เอฟเฟค รีเทอร์น (Effect Return)
ทำหน้าที่รับสัญญาณที่ผ่านมาจากอุปกรณ์ต่างๆที่ถูกป้อนมาจาก ffect send อีกทีหนึ่งเพื่อการได้ยินเสียงที่ส่งออกมาจากเครื่องเอฟเฟค
-สเตอริโอ มาสเตอร์ เฟดเดอร์ (Stero Master Fader)
มีอยู่สองลักษณะคือแบบ สไลด์โวลุ่ม (slide volume) และแบบหมุน (rotary pot) ทำหน้าที่เป็นปรับความดังเบาของสัญญาณทั้งหมดบนมิกเซอร์ทั้งซ้ายขวาก่อนที่จะออกไปสู่เครื่องมือต่างๆ
-กรุ๊ปหรือบัสเอาต์พุตเฟดเดอร์ (Group or Buss Out Faders)
หรือในอีกชื่อหนึ่งว่า ซับกรุ๊ป เฟดเดอร์ (subgroup faders) ควบคุมการส่งออกของสัญญาณที่มาจากกรุ๊ป หรือบัสอินพุทเฟดเดอร์ (buss input fader) โดยจะแยกเป็นสเตอริโอซึ่งทีแพน (pan) ทำหน้าที่ควบคุมการส่งสัญญาณไปทางซ้ายหรือขวา เพื่อให้ผลของการมิกซ์เสียง หรือการจัดตำแหน่งสัญญาณ
-สเตอริโอบัส อินพุท (Stero Buss Input)
ทำหน้าที่รองรับสัญญาณจากเเหล่งสัญญาณอื่นๆ เพื่อให้สามารถนำสัญญาณมาใช้สัญญาณร่วมกัน เช่นกรณีที่ใช้มิกเซอร์สองตัวโดยตัวแรกใช้สำหรับรองรับสัญญาณจากเครื่องดนตรีและเสียงร้อง ส่วนมิกเซอร์ตัวที่สองใช้สำหรับกลุ่มคีย์บอร์ด แต่เราต้องการควบคุมสัญญาณทั้งหมดจากมิกเซอร์ตัวแรก เรามารถทำได้ด้วยการส่งสัญญาณจากมิกเซอร์ในตัวที่สองจากภาคเอาต์พุตสเตอรืฃิโอ (output stero) แล้วต่อเข้าที่สเตอริโอบัส (stereo buss) ที่ว่านี้ในมิกเซอร์ตัวแรกซึ่งจะทำให้สามารถควบคุมความแรงของสัญญาณจากมิกเซอร์ตัวที่สอง ได้ที่มิกเซอร์ตัวแรกในภาคสเตอริโอบัสของมิกเซอร์ตัวแรก
-ออกซิเลียรี เซนด์ มาสเตอร์ (Auxiliary Send Masters)
ทำหน้าที่ควบคุมความดังเบาของสัญญาณทั้งหมดที่มาจาก aux จากแต่ล่ะช่องเสียงในมิกเซอร์ หากเราปิด aux send master ถึงแม่เราจะส่งสัญญาณจาก aux ในแต่ละแชนเนลก็จะไม่มีเสียงดัง ในทางตรงข้าม หากเราเพิ่มระดับความแรงของ aux send master ความแรงของสัญญาณจาก aux ในแต่ละช่องเสียงบนมิกเซอร์ก็จะดังทั้งหมด
-ทอร์คแบ็ค (Talk Back)
ทำหน้าที่ติดต่อสื่อสารกันระหว่างห้องควบคุมและห้องบันทึกเสียง ซึ่งจะมีไมโครโฟนเล็กๆ (condencer mic) ที่อยู่บนมิกเซอร์ทำหน้าที่ติดต่อสื่อสารระหว่างเอ็นจิเนียร์และนักดนตรี
-เฮดโฟน (Headphone Control)
เฮดโฟนคอนโทรลจะทำหน้าที่เป็นตัวจ่ายสัญญาณจากมิกเซอร์ไปให้หูฟัง
-โทนออสซิเลเทอร์ (Tone Oscillator)
มักใช้อักษรย่อๆ คือ OSR ทำหน้าทีท่สัญญาณความถี่เสียงสูงกลางต่ำเพื่อใช้สำหรับตรวจสอบและอ้างการทำงานต่างๆของมิกเซอร์ เช่น วัดตรวจสอบความสมดุลซ้ายขวาของมิกเซอร์ เป็นต้น ส่วนใหญ่จะสร้างความถี่ที่ 40Hz ,400Hz,1kHz,4kHz,10kHz,15kHz