ฟังแล้ว ไม่แพ้นักร้องค่ายดังเลยครับ เป็นกำลังใจให้ครับ สู้ ๆ ๆ ๆ
อ. เพิ่ม มิดี้ เสน่ห์สาวผู้ไท ให้หน่อยนะครับ หรือแบบ mp3 ก็ได้ ฟังแล้วเพราะดี (เพลงนี้เสน่ห์สาวผู้ไท หรือ เสน่ห์สาวภูไท ครับ)
เสน่ห์สาวผู้ไท กำลังทำ midi ครับ เพื่อให้เกียรติผู้ประพันธ์เพลงนี้ คือ อาจารย์ชาตรี ธงยศ ซึ่งคร่ำหวอดกับวงการเพลงมายาวนาน ก่อนเล็ก ภูสน ก็คือเพลง "ฮีตสิบสอง" ของไหมไทย ใจตะวัน ครับ
ประวัติศาสตร์ของชาว "ผู้ไท" ครับ ขอบคุณข้อมูลจาก
http://www.hellomukdahan.com/phuthai/thailand-mukdahan-phu-thai-tribe-history-01.php การตั้งถิ่นฐานของชาวผู้ไท
15 พ.ย. 2006 18:40น.
การตั้งถิ่นฐานและประวัติศาสตร์การเข้ามาของกลุ่มชาติพันธุ์ผู้ไท
การอพยพเข้ามาในประเทศไทยมีหลายครั้งและตั้งถิ่นฐานทั้งในจังหวัดทางภาคอีสานและภาคกลาง ได้มีการแบ่งชาวผู้ไทออกเป็น 2 กลุ่ม ตามลักษณะการแต่งกายและบริเวณที่ตั้งถิ่นฐาน ได้แก่ “กลุ่มผู้ไทขาว” กลุ่มผู้ไทดำและผู้ไทแดง กลุ่มผู้ไทขาวตั้งถิ่นฐานอยู่ทางตอนเหนือของเวียดนามต่อพรมแดนของประเทศจีน ได้แก่ เมืองไล เมืองบาง เมืองมุน เมืองเจียน มีการใช้ธรรมเนียมต่างๆ อย่างชาวจีนโดยเฉพาะการแต่งกายในพิธีศพนิยมนุ่งขาวห่มขาว ส่วนผู้ไทในภาคอีสานจัดเป็น “ผู้ไทดำ” อยู่บริเวณเมืองแถง เมืองควาย เมืองคุง เมืองม่วย เมืองลา เมืองโมะ เมืองหวัด เมืองชา มีผิวพรรณคล้ายผู้ไทขาวแต่คล้ำกว่าเล็กน้อย นิยมแต่งกายด้วยผ้าฝ้ายย้อมครามเข้ม และอาศัยแม่น้ำดำเป็นแหล่งทำมาหากิน สังเกตได้จากลักษณะธรรมเนียมประเพณีที่ปฏิบัติเป็นเกณฑ์หลัก เช่น การแต่งกาย พิธีศพ ทั้งสองกลุ่มใช้ภาษาพูดแบบเดียวกัน (นพดล ตั้งสกุล, 2548: 12 ; สุวิทย์ ธีรศาศวัต และ ณรงค์ อุปัญญ์, 2538:18)
การอพยพของชาวผู้ไทยเป็นจำนวนมากจากเมืองนาน้อยอ้อยหนู (ห่างจากเมืองแถงหรือเดียนเบียนฟูไปทางตะวันออกประมาณ 40 ก.ม.) พระโพธิวงศาจารย์ (ติสโส อ้วน) กล่าวไว้ในประวัติศาสตร์ชนชาติไทย สาเหตุของการอพยพเกิดจากสาเหตุ 2 ประการ คือ ประการแรก “บังเกิดการอัตคัดอดอย่าง” สอง เกิดจากความขัดแย้งระหว่างท้าวก่าหัวหน้าของชาวผู้ไทกับเจ้าเมืองนาน้อยอ้อยหนู (ต้นฉบับเรียกเมืองน้ำน้อยอ้อยหนู) ท้าวก่าจึงพาชาวผู้ไทชายหญิงประมาณหมื่นคนมาขอขึ้นกับเจ้าอนุรุทกุมาร เจ้าเมืองเวียงจันทน์ เจ้าอนุรุทกุมารจึงให้ชาวผู้ไทไปตั้งถิ่นฐานที่เมืองวัง ซึ่งเป็นป่าเขา ไม่ค่อยมีที่ราบ เป็นที่อยู่ของพวกข่า ไม่มีใครปกครอง ซึ่งสอดคล้องกับลักษณะถิ่นที่อยู่และที่ทำกินเดิมของชาวผู้ไท (สุวิทย์ ธีรศาศวัต และ ณรงค์ อุปัญญ์, 2538:20-21)
การอพยพครั้งใหญ่ของชาวผู้ไทยเข้าสู่ประเทศไทยมี 3 ระลอกด้วยกัน คือ
ระลอกที่ 1 สมัยธนบุรี ระหว่าง พ.ศ. 2321 ถึง 2322 กองทัพไทยนำโดยเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก (รัชกาลที่ 1) กับเจ้าพระยาสุรสีห์ (บุญมา) นำทหารสองหมื่นคนเข้าไปตีหัวเมืองลาวตั้งแต่จำปาศักดิ์ถึงเวียงจันทน์ ขณะที่กองทัพไทยล้อมเวียงจันทน์อยู่นั้น หลวงพระบางซึ่งไม่ถูกกับเวียงจันทน์ได้ส่งกองทัพมาช่วยไทยตีเวียงจันทน์ ล้อมอยู่ 4 เดือนเศษก็สามารถตีได้ กองทัพไทยถือโอกาสผนวกลาวทั้งหมด รวมทั้งหลวงพระบางซึ่งมาช่วยไทยตีเวียงจันทน์เอาเป็นเมืองขึ้นหรือประเทศราชแต่นั้นมา หลังจากเวียงจันทน์แตกใน พ.ศ. 2322 ฝ่ายไทยได้ให้กองทัพหลวงพระบางไปตีหัวเมืองทางตะวันออกของหลวงพระบาง มีเมืองทันต์ เมืองม่วย สองเมืองนี้เป็นลาวทรงดำหรือผู้ไทดำ ซึ่งอยู่ริมเขตแดนญวน ได้ครอบครัวลาวทรงดำเป็นอันมาก สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงมีรับสั่งให้ลาวทรงดำเหล่านี้ไปตั้งบ้านเรือนอยู่เพชรบุรี ในช่วงของการกวาดต้อนลาวทรงดำเมืองทันต์ (ปัจจุบันอยู่ในเขตเวียดนามเหนือ) และเมืองม่วย (ปัจจุบันอยู่ในเขตประเทศลาว) ผู้ไทขาวส่วนใหญ่ยังอยู่ที่เมืองแถง ไม่ได้ถูกกวาดต้อนมาด้วย ผู้ไทดำสองเมืองนี้นับเป็นผู้ไทระลอกแรกที่ถูกอพยพเข้ามาอยู่ในประเทศไทย
ระลอกที่ 2 เกิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 1 ราวพ.ศ. 2335-2338 เมืองแถงและเมืองพวนแข็งข้อต่อเวียงจันทน์ กองทัพเวียงจันทน์ตีเมืองทั้งสองได้ กวาดต้อนลาวทรงดำหรือผู้ไทยดำ ลาวพวน เป็นเชลยส่งมาที่กรุงเทพ รัชกาลที่ 1 ทรงมีรับสั่งให้ผู้ไทดำไปอยู่ที่เพชรบุรีเหมือนผู้ไทดำระลอกแรก
ระลอกที่ 3 เกิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 3 เป็นการอพยพเข้ามาครั้งใหญ่ที่สุด ซึ่งมีทั้งชาวผู้ไทและกลุ่มอื่นๆ บริเวณฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงเข้ามาไว้ในภาคอีสาน และบางส่วนส่งมาอยู่ในภาคกลางของประเทศไทย สาเหตุการอพยพเกิดจากรัฐบาลไทยสมัยรัชกาลที่ 3 ขัดแย้งอย่างรุนแรงกับรัฐบาลญวน เนื่องจากญวนพยายามขยายอำนาจเข้ามาในเขมรและลาว ซึ่งเป็นประเทศราชของไทย ความขัดแย้งครั้งนั้นนำไปสู่สงครามอันยาวนานระหว่างไทยกับญวน โดยรบกันตั้งแต่ พ.ศ. 2376 และไปสิ้นสุดใน พ.ศ. 2390 พื้นที่การรบส่วนใหญ่อยู่ในประเทศเขมร การรบครั้งนั้นส่งผลต่อราษฎรในฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขง คือ มีการกวาดต้อนเอาราษฎรไปอยู่แต่ละฝ่ายเป็นจำนวนมาก
สำหรับชาวผู้ไทที่ถูกกวาดต้อนในระลอกที่ 3 นี้ มีกลุ่มคนดังนี้
กลุ่มที่ 1 เป็นผู้ไทยเมืองวัง ถูกกวาดต้อนให้มาตั้งถิ่นฐานที่ อ.สหัสขันธ์ จ.กาฬสินธุ์ ประมาณ 300 หลังคาเรือน มีประชากรรวมกัน1,200 คน ตั้งถิ่นฐานที่บ้านโพน บ้านหนองยางเหนือ บ้านหนองยางใต้ ต.โพน ต.ทุ่งครอง 4 หมู่บ้าน (บ้านทุ่งครอง บ้านเก่าเดื่อ บ้านคำม่วง บ้านหนองสะพัง) ต.สำราญ 5 หมู่บ้าน (บ้านค้อ บ้านหนองช้าง บ้านจาน บ้านหนองแซง บ้านท่า) ปัจจุบันบ้านเหล่านี้ขึ้นกับ อ.คำม่วง และที่ขึ้นกับอ.สหัสขันธ์มีเพียง 2 หมู่บ้าน คือ บ้านตงไร่ บ้านคอนผึ้ง ต.โนนศิลา
กลุ่มที่ 2 เป็นผู้ไทเมืองวังเช่นเดียวกัน ถูกกวาดต้อนมาตั้งถิ่นฐานที่ อ.กุฉินารายณ์ จ.กาฬสินธุ์ กลุ่มนี้ใหญ่มากมีประชากรรวมกันถึง 14,521 คน ให้ตั้งถิ่นฐานที่ ต.บัวขาว 5 หมู่บ้าน ต.แจนแลน 4 หมู่บ้าน ต.แล่นช้าง 5 หมู่บ้าน ต.สงเปือง 6 หมู่บ้าน ต.คุ้มเก่า 11 หมู่บ้าน
กลุ่มที่ 3 มาจากเมืองวังเช่นเดียวกัน ถูกกวาดต้อนให้มาตั้งถิ่นฐานที่เมืองพรรณนานิคม ซึ่งในสมัยนั้นเรียกว่าบ้านพังพร้าว จากการสำรวจในปี พ.ศ. 2513 พบว่าใน อ.พรรณานิคมตอนนั้นมี 7 ตำบล มีชาวผู้ไททั้ง 7 ตำบล มีผู้ไท 11 หมู่บ้าน ต.สว่าง 17 หมู่บ้าน ต.นาใน 10 หมู่บ้าน ต.หัวบ่อ 10 หมู่บ้าน ต.ไร่ 9 หมู่บ้าน ต.พอกน้อย 7 หมู่บ้าน และ ต.วังยาง 1 หมู่บ้าน รวม 65 หมู่บ้าน เป็นจำนวนคน 32,037 คน นอกจากนี้ยังอพยพไปตั้งรกรากที่ อ.เมืองสกลนคร 13 ตำบล 48 หมู่บ้าน อ.พังโคน 4 ตำบล 23 หมู่บ้าน อ.บ้านม่วง 3 ตำบล 16 หมู่บ้าน อ.วานรนิวาส 4 ตำบล 8 หมู่บ้าน อ.กุสุมาลย์ 2 ตำบล 4 หมู่บ้าน อ.สว่างแดนดิน 2 ตำบล 3 หมู่บ้าน อ.กุดบาก 1 ตำบล 3 หมู่บ้าน อ.วาริชภูมิ 4 ตำบล 42 หมู่บ้าน รวมทั้งจังหวัดสกลนครมีผู้ไทย 212 หมู่บ้าน 20,945 หลังคาเรือน 128,659 คน
กลุ่มที่ 4 มาจากเมืองวังและเมืองคำอ้อ ตั้งถิ่นฐานที่บ้านหนองสูงและบ้านคำชะอี ปัจจุบันขึ้นอยู่กับ จ.มุกดาหาร ทั้ง 4 กลุ่มนี้ถูกกวาดต้อนมาตั้งถิ่นฐานในประเทศไทยประมาณ พ.ศ. 2384-2387 (รัชกาลที่ 3)
กลุ่มที่ 5 มาจากเมืองวัง แต่มาก่อน 4 กลุ่มที่กล่าวมาแล้ว คือ อพยพมาตั้งแต่ พ.ศ.2373 มาตั้งถิ่นฐานที่บ้านห้วยหัวขัว บ้านบ่อจันทร์ และบ้านดงหวาย ทางการได้ยกบ้านดงหวายเป็นเมืองเรณูนคร ในครานั้นมีประชากร 2,648 คน การสำรวจในปี พ.ศ. 2513 มีชาวผู้ไทอยู่ใน จ.นครพนม 131 หมู่บ้าน 5 อำเภอ คือ อ.นาแก 78 หมู่บ้าน อ.เรณูนคร 28 หมู่บ้าน อ.ธาตุพนม 14 หมู่บ้าน อ.ศรีสงคราม 7 หมู่บ้าน อ.เมือง 4 หมู่บ้าน เฉพาะ อ.เรณูนครมีผู้ไท 19,070 คน
กลุ่มที่ 6 เป็นชาวผู้ไทจากเมืองตะโปน (เซโปน) 1,847 ครอบครัว มาตั้งถิ่นฐานที่บ้านช่องนาง ทางการไทยได้ยกช่องนางเป็นเมืองเสนางคนิคม ปัจจุบันขึ้นกับ จ.อำนาจเจริญ ในปี พ.ศ. 2525 มีชาวผู้ไทอยู่ 5 หมู่บ้าน ใน 2 อำเภอ คือ อ.เสนางคนิยมและ อ.ชานุมาน
กลุ่มที่ 7 เป็นชาวผู้ไทจากเมืองตะโปน ตั้งถิ่นฐานที่บ้านคำเมืองแก้ว ทางการยกเป็นเมืองคำเขื่อนแก้วในปี 2388
กลุ่มที่ 8 เป็นชาวผู้ไทจากเมืองกะปอง ตั้งถิ่นฐานที่บ้านปลาเป้า ยกเป็นเมืองในปลายสมัยรัชกาลที่ 4 พ.ศ.2410 เป็นเมืองวาริชภูมิ ผู้ไทในอำเภอวาริชภูมิมี 4 ตำบล คือ ต.วาริชภูมิ 1 หมู่บ้าน ต.คำบ่อ 12 หมู่บ้าน ต.ปลาโหล 9 หมู่บ้าน และต.เมืองลาด 7 หมู่บ้าน รวม 42 หมู่บ้าน
ชาวผู้ไททั้ง 8 กลุ่มได้ขยายจำนวนออกไปตั้งรกรากในพื้นที่ต่างๆ ของภาคอีสานอย่างกว้างขวางในเวลาต่อมา รวม 9 จังหวัด 33 อำเภอ 494 หมู่บ้าน สรุปได้ดังนี้
1. จ.กาฬสินธุ์ 63 หมู่บ้าน 5 อำเภอ (เขาวง กุฉินารายณ์ คำม่วง สมเด็จ สหัสขันธ์)
2. จ.นครพนม 131 หมู่บ้าน 5 อำเภอ (นาแก เรณูนคร ธาตุพนม ศรีสงคราม เมืองนครพนม)
3. จ.มุกดาหาร 68 หมู่บ้าน 5 อำเภอ (คำชะอี เมืองมุกดาหาร นิคมคำสร้อย ดอนตาล หนองสูง)
4. จ.สกลนคร 212 หมู่บ้าน 9 อำเภอ (พรรณนานิคม เมืองสกลนคร วาริชภูมิ พังโคน บ้านม่วง วานรนิวาส กุสุมาลย์ สว่างแดนดิน กุดบาก)
5. จ.อำนาจเจริญ 5 หมู่บ้าน 2 อำเภอ (เสนางคนิคม ชานุมาน)
6. จ.ยโสธร 3 หมู่บ้าน 1 อำเภอ (เลิงนกทา)
7. จ.อุดรธานี 5 หมู่บ้าน 2 อำเภอ (วังสามหมอ ศรีธาตุ)
8. จ.หนองคาย 6 หมู่บ้าน 3 อำเภอ (โซ่พิสัย บึงกาฬ พรเจริญ)
9. จ.ร้อยเอ็ด 1 หมู่บ้าน (โพนทอง)
(สุวิทย์ ธีรศาศวัต และ ณรงค์ อุปัญญ์, 2538:21-29)