ฝากช่วยอธิบาย บรรทัดลูกศรสีแดงหน่อยครับ
Frequency Response คือขอบเขตความถี่ที่ลำโพงสามารถตอบสนองได้ หูคนเราสามารถได้ยินได้ที่ความถี่ต่ำสุด 20Hz ถึงสูงสุด 20,000Hz
ดังนั้นลำโพงต้องตอบสนองครอบคลุมย่านความถี่ดังกล่าวให้กว้างที่สุดถึงจะถือว่าตอบสนองได้สมบูรณ์ครบทุกระดับความถี่ที่หูเราสามารถได้ยินได้ แต่ต้องมีเงื่อนไขว่าการตอบสนองความถี่ตลอดทั้งย่านต้องไม่ลดต่ำเกินกว่า 3dB (สเป็คจะระบุว่า -3dB) เพราะการที่ความดังเสียงลดลง 3dB หมายถึงกำลังขับขาออก ณ ความถี่ตรงนั้นจะลดครึ่งนึง เช่นรับจากแอมป์มา 1000W แต่ขับออกแค่ 500W ตามสูตร L
dB1- L
dB0=10log[P
1/P
0] แต่นั่นเป็นระดับเสียงต่ำสุดแล้วที่ยอมรับได้ ถ้าต่ำกว่า -3dB คือเสียงเบากว่านี้ ถือว่าหลุดสเป็ค ใช้อ้างอิงไม่ได้
จากกราฟความสัมพันธ์ระหว่าง dBSPL กับ Frequency จะเห็นว่า ความถี่ระหว่าง 110 Hz ถึง 18kHz จะอยู่ที่ +/-3dB ซึ่งเป็นที่ยอมรับกันว่า
Flat frequency responseTotal Harmonic distortion (THD) คือ ความเพี้ยนโดยรวมของสัญญาณ harmonic ทั้งหมด เทียบกับสัญาณความถี่มูลฐาน
วิธีการวัดคือ ใช้ Oscilloscope ป้อน sine wave เข้าไป แล้วเพิ่ม voltage ขึ้นไปเรื่อยๆจนเกิด ความถี่ harmonic เช่น ป้อน sine wave 1kHz เข้าไป แล้วเกิดความถี่ ที่เป็นจำนวนเท่า (Harmonic) 2kHz,3kHz,4kHz.....
นำค่า Voltage ของความถี่ที่ได้มาคำนวนตามสูตร
ก็จะได้ค่า THD ถ้าจะคิดเป็น % ก็เอา 100 ไปคูณ
ยิ่ง ลำโพงหรือpower amp เรามีค่า THD น้อยเท่าไร ก็จะมีความเพี้ยนน้อย
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า ลำโพงที่ มีค่า THD น้อยกว่า จะเสียงเพราะกว่า THD มาก
ดังนั้น ค่า THD เป็นค่าที่บ่งบอกว่า สัญญาณ output มีความเพี้ยนจาก สัญญาณ input ต้นฉบับ ไปกี%
ส่วน sensitivity ตามที่เฮียแซมอธิบายข้างบนเลยครับ เลยครับ
sensitivity 95 dB/1m/1W หมายถึง ถ้าเราให้พลังงาน 1W ไปที่ลำโพง วัดที่ระยะ 1 เมตรจะ ได้ SPL 95 dB
Max sound level หรือ Max SPL หมายถึง เราให้ Max power ที่ลำโพงรับได้ ตามสเปคของลำโพงนี้คือ 250W จะได้ Max SPL คือ 119dB
หรือคำนวนตามสูตร
จะได้ Max SPL ที่ระยะ1 m = 95 + 10log[250/1]-20log(1/1)
= 95+ 10log [5
3x2]-20 log1
= 95 + [30 log5 + 10log2]- 0 ; log2=0.301, log5=0.7, log1=0
= 95 + 21+3
= 119 dB