ภาค 4 (จบ) มาแล้ว
หลังจากที่เรา รู้วิธีการทำงาน และ ขีดจำกัดของ มนุษย์ กันไปแล้ว ขออณุญาติ ตัดเรื่อง DAC Bit แปลกๆ ออกเพราะมันเป็น แค่คำโฆษณา หวังผลทางการตลาดเท่านั้น ไม่ได้มี ค่าควรแก่การ จดจำซักเท่าไหร่ เช่น เกิดจากการเอา DAC มาต่อพ่วงกัน หลายๆตัว ส่วน cd ก็เอา bit ที่บันทึกก่อน ถ่ายลง cd มาแปะ เพื่อ up คุณค่า ทางอารมณ์ (ลง cd ก็เหลือ 16 bit 44.1 kH อยู่ดีแหละ) เรามาดู จุดที่สำคัญอีก จุดหนึ่งของ วงการ DAC นั่นก็คือ
DAC แบบ Bit-stream ที่ใช้วงจร Zigma - Delta แปลงจาก PCM เป็น Bit-stream ก่อนทีจะประมวลผล ซึ่งจริงๆ แล้ว เราสามารถ ส่ง data แบบ Bit-stream ไปให้ DAC ประมวลผล ได้เลยเช่นกัน (DAC ที่ผมว่า อยู่ในสมัยราวๆ ปี 1995)
พอ DAC สามารถ รับ Bit-stream Data ได้ สิ่งที่เกิดขึ้น จาก Bit-stream จริงๆ แล้ว มี หลายอย่างทีเดียว เช่น แนวคิดของแผ่น SACD ที่เก็บ Data เป็น แบบ Bit-stream ไม่ได้ใช้ PCM และการแปลง PCM เป็น Streme เพื่อ ลดรูปของ Data ใน File ตระกูล lossy ที่ดังๆและรู้จักกันดีคือ MPEG1 Layer 3, Dolby AC3, SDDS และ อื่นๆ
สาระสำคัญของ File แบบ lossy ที่เป็นหัวใจของมันจริงๆ ก็คือ
1. Logic Gate ที่ใช้ในการ ลดรูปของ Data แบบ stream เช่น
0000000111100110000111111011111011101111111111
จะเห็นได้ว่า จริงๆแล้ว 0 คือ กราฟ ขาลง 1 คือ กราฟ ขาขึ้น
ถ้า
0000000000000000000000000000010000000000000000
ไม่แตกต่าง ถ้าจะเก็บ Data เป็น
0000000000000000000000000000000000000000000000
เพราะในตัวเครื่องเสียงเอง นั้นมีความเพี้ยน ของเสียงอยู่แล้ว ดังนั้น Data จะหายไป ซัก 20 - 30% ทาง ทฤษฏี จะไม่มีผล กับการรับรู้ ยกเว้น คนที่สามารถ แยกเสียง เล็กๆ เบาๆ ในเสียงดังๆ ออก (และแน่นอนต้องตั้งใจฟังด้วย)
2. สามารถ รับ Streme ขนาด Data น้อยๆ ก็สามารถ ทำงานได้ เช่น อยากจะส่งแค่ 8000 bit/sec DAC ก็ทำงานได้ (โดย logic gate จะเติม bit ลงไปให้ครบ ก่อนที่ DAC จะทำงาน) เพียงแต่ เสียงที่ออกมา จะแค่พอฟังรู้เรื่อง เท่านั้น
ในเมื่อรู้จักการทำงานของ file ตระกูลนี้ แล้วจริงๆ จะมี ศัพสำคัญๆ อยู่ 2-3 ตัว นั่นคือ kbit/Sec
Frame/Sec ขนาดของ Data โดยประมาณจะเท่ากับ
Data Size = Sec x kbit หรือ Frame per Sec x Frame x Data Per Frame
เช่น file mp3 128 kbit ขนาด 4 นาที (240 sec) จะมีขนาดเท่ากับ
(240) x (128000 / 8) = ราว 3.7 Mb ไม่รวม Header และ แล้วแต่ว่าจะ แบ่ง frame เท่าไหร่ ถ้าวิละ 4 frame (ค่า defaule) ก็จะตก 960 Frame - Frame ละ 32kbit
อ่านถึงตรงนี้อาจะจะ งงๆว่า พูดเรื่อง Frame ทำไม ?
มันมีแบบนี้ครับ ในช่วงแรกๆ ข้อมูลแบบ mp3 นั่นถูกออกแบบมาเพื่อให้ใช้ในการ ส่งสัญญาณ เสียง Digital ผ่าน ระบบ Network การทำงานผ่าน Network จำเป็นต้อง แบ่ง Data ออกเป็น ส่วนๆ ขนาดพอเหมาะ กับ Speed ของ Network ในยุคนั้น (32 kbit / Frame ใครเคยใช้ Modem แบบ Dialup ยุคกลางๆ พอเห็นอะไร คุ้นๆบ้างมั้ย) และใน file รุ่นหลังๆ นั้น ตัว frame ถึงจะสามารถ จุ data ใส่ ใส่ใน Frame ในขนาดไม่เท่ากัน หรือใหญ่ขึ้นได้ มันถึงมี File ที่เป็น VBR ครับ แล้วก็ไม่ตองสนใจเรื่อง Frame มาก เพราะ ตัว Encode มันจะจัดการ ของมันเอง
มาถึงตรงนี้จะเห็นข้อดีข้อเสีย ของ การรับส่ง Data แบบนี้ กันบางแล้วนะครับ คราวนี้ เรามาดู ของที่ไกล้เคียง ในปัจจุบันกันดีกว่า นั่นก็คือพวก lossless file format จริงๆแล้ว lossless file format ก็คือ lossy นั่นแหละครับ แต่ไม่ได้อัด bit rate ต่ำๆ แค่นั้นเอง
อ้าววว ?? แล้วทำไม file lossless ถึงพึ่งมา โผล่มาขายในช่วง ปัจจุบัน หรือในปี 2006++
คำตอบอยู่ที่ k-Gate Siligon ที่ใช้ทำ Gate ของอุปกรณ์ อิเลคโทรนิค กับ Master Clock ของระบบ Digital ครับ และอีกเหตุผล กลายๆ คือความจุของ media ซึ่งเป็นแค่เหตุผล ทางด้านราคา ถ้าคุณมีเงินไม่จำกัด แต่ไม่มีของมาขาย ก็ไม่มีประโยชน์ อะไรครับ
จาก spec ตัว top สุดที่ ส่งเข้าไป process ที่ตัว DAC 1 Bit-stream โดยตรง คือ 24 bit 192kH Pulse จะอยู่ที่ 3 THz (สาม เทอระเฮิร์ต) ทำให้ Master Clock ของระบบ ต้องอยู่ที่ 10^ -13 วินาที ต่อ 1 ลูกคลื่น ซึ่งไม่มีทางมีขายก่อน ปี 2000 แน่นอนและ Spec นี้จะยังคง อยู่ไปอีกนาน แสนนาน เหมือน CD ที่กว่าจะหาอะไรใหม่ๆมาได้ ก็ปาเข้าไปตั้ง 15 ปี รวม กับที่รอ format หมดอายุ ทางการตลาดเหมือน เครื่องเสียงที่ใช้ เทป แม่เหล็ก ก็ เลย 30 ปีพอดี ไม่ต้อง update เรื่องนี้ ไปอีก
นาน นนน (สบายคนเขียน)
จบแล้ว
คัดลอกมาจาก
ที่นี่ ครับ ขอขอบคุณเจ้าของบทความครับ