HDMI 1.3 หรือ 1.4 ทำให้หลาย ๆ ท่าน (รวมทั้งตัวผมเองด้วย) ก่อนซื้อสายภาพชนิดนี้ต้องเกิดความลังเลเป็นอย่างยิ่ง ว่าจะซื้อรุ่นไหนดี เพราะตอนที่ 1.4 ออกใหม่ ๆ ก็มีผู้แนะนำว่าจะเล่น Full 3D ต้องใช้สาย HDMI v.1.4 หากใช้ v.1.3 จะเล่น Full 3D ไม่ได้ เมื่อวานได้มีโอกาสรับเครื่องเล่น HD Player ที่สามารถเล่นไฟล์ Full 3D นามสกุล .iso มาเล่น ปัจจุบันสายที่ใช้อยู่เป็น v.1.3 ทั้งหมด ประมาณ 3-5 เส้น ยังไม่เคยได้ซื้อสาย v.1.4 มาลองใช้เลย จึงอยากพิสูจน์ว่าสาย 1.3 จะสามารถเล่น Full 3D ได้หรือไม่ เมื่อลองแล้วปรากฏว่าเล่นได้ปกติ ทั้งระบบภาพและระบบเสียงได้อย่างสมบูรณ์แบบ จึงขอยืนยันด้วยความมั่นใจว่าสาย 1.3 สามารถใช้กับเครื่องเล่นบลูเรย์หรือ HD Player ชนิด 3D ได้อย่างแน่นอน ดังนั้น ท่านใดที่มีสาย 1.3 อยู่ และกำลังจะเล่น 3D ก็ไม่จำเป็นต้องซื้อสาย 1.4 มาใช้ ยกเว้นท่านที่ยังไม่มีสาย 1.3 อยู่เลย หากจะซื้อสายเส้นแรกก็ควรจะซื้อ 1.4 ไปเลย ทั้งนี้ ขอออกตัวก่อนว่าผมไม่สามารถจะหาสาย 1.3 ทุกระดับราคาที่มีอยู่ในท้องตลาดมาทดลองได้ แต่มั่นใจว่าสายที่มีขายโดยทั่วไปส่วนใหญ่ก็น่าจะมีคุณภาพไม่หนีกันนัก เพราะดูหน่วยก้านสายที่แถมมากับเครื่องเล่นบลูเรย์และ HD Player ชนิด Full 3D ก็เป็นสายในระดับราคาทั่้ว ๆ ไป เพราะเครื่องเล่นราคา 3000 พันบาท ขึ้นไป คงไม่มีบริษัทไหนแถมสายราคา 7-8 ร้อยบาทให้แน่ ๆ
จากการที่ได้ลองเปรียบเทียบการเล่นหนัง Full 3D ในเรื่องเดียวกับหนัง SBS 3D ขอฟันธงได้อย่างมั่นใจเลยว่ามิติภาพของ Full 3D สมจริงมาก ๆ เวลาจะลอยออกมาก็ลอยออกมาเป็นธรรมชาติ ไม่เหมือน SBS ซึ่งลอยออกมาอย่างผิดธรรมชาติ (เกินความเป็นจริงมากไปหน่อย) คนที่เคยดูแบบ SBS (ซึ่งส่วนใหญ่ร้านขายจอใช้ Demo ให้ลูกค้าดู) แล้วบอกว่ามึนศีรษะ ลองมาดู Full 3D รับรองว่าอาการดังกล่าวจะไม่เกิดขึ้ืนอย่างแน่นอน เครื่องเล่น Full 3D ที่มีขายในบ้านเรา มีอยู่ 3 แบรนด์เท่านั้น คือ Xtreamer รุ่น Prodigy Egreat รุ่น R300 และ HiMedia HD900b โดยใช้ชิพประมวลผลรุ่นเดียวกันทั้งหมด คือ Realtek 1186DD และทำราคาได้น่ารักมาก ๆ คือมีราคาเท่ากันทั้ง 3 รุ่น ราคาอยู่ที่ 5 พันต้น ๆ ถึงกลาง ๆ สำหรับตัวแรกเป็นเครื่องแบรนด์เกาหลี แต่ปัจจุบันผลิตที่จีน ตัวสุดท้ายเป็นผลผลิตของจีนที่จีนภูมิใจเป็นอย่างมากเพราะเป็นเครื่องเล่นที่มียอดจำหน่ายสูงที่สุดของจีน ที่สำคัญได้แถม Wifi มาให้พร้อม ส่วนสองเครื่องแรกต้องซื้อเพิ่มต่างหาก หากจะถามว่าทั้งสามเครื่อง ตัวไหนน่าเล่นที่สุด ซึ่งปัญหานี้ผมใช้เวลาหาข้อมูลค่อนข้างยากทำให้การตัดสินใจเป็นไปด้วยความยากลำบาก หากเน้นแบรนด์ดังรูปสวย ก็ต้องเบอร์ 1 หากต้องการพอร์ตเชื่อมต่อที่ครบถ้วนและสมบูรณ์แบบกว่าตัวอื่น ๆ ก็ต้องเบอร์ 2 หากต้องการมี Wifi พร้อมโดยไม่ต้องซื้อเพิ่ม ก็ต้องเบอร์ 3 สำหรับการใช้งานนั้น แต่ละเครื่องย่อมแตกต่างกันไป ผมได้เคยลองเล่นเฉพาะเบอร์ 1 และเบอร์ 3 จึงสามารถให้ข้อมูลเฉพาะสองเครื่องนี้เท่านั้น สำหรับเบอร์ 1 นั้น เมื่อนำมาเล่น Full 3D แล้ว ภาพที่จอพลาสม่าขนาด 64 นิ้ว ของผมไม่เต็มจอ โดยขาดทั้งข้างบนและข้างล่าง แม้เครื่องจะมีฟังก์ชั่นในการปรับให้แต่ปรับแล้วก็ไม่สามารถทำให้เต็มจอได้ เมนูต่าง ๆ บนจอค่อนข้างเล็ก การเลือกเสียงหรือคำบรรยายไม่คล่องตัวเท่าใดนัก ส่วนเบอร์ 3 ตรงกันข้ามกับเบอร์ 1 คือ เล่นเต็มจอ เมนูต่าง ๆ ค่อนข้างใหญ่ การเลือกเสียงหรือคำบรรยายคล่องตัว แต่เบอร์ 3 เครื่องที่ผมได้ลองยังไม่สามารถโชว์ปกได้ ส่วนเบอร์ 1 โชว์ปกได้ตามปกติ เมื่อเห็นข้อแตกต่างดังกล่าว การตัดสินใจจึงง่ายขึ้น ผมจึงเลือกเบอร์ 3 ไว้ใช้ โดยเหตุผลหลักประการเดียวคือมันแสดงผลได้เต็มขนาดของจอนั่นเอง สิ่งที่ค้างคาใจอีกเรื่องก็คืออยากลองเล่นเครื่องเล่น Full 3D ที่ใช้ชิพของ Sigma ดูว่าจะต่างกันขนาดไหน เพราะเคยใช้ในรุ่นธรรมดาด้วยกัน คุณภาพของภาพและสีแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดโดยไม่ต้อง A-B Test เลย แต่ได้ข่าวว่าหาก Sigma ออกมาจริง ๆ ราคาคงเกินหนึ่งหมื่นบาทขึ้นไปแน่ ๆ